บทที่ 6 (No 6)

ปฏิกิริยา จากกลุ่มผู้เคร่งศาสนา ต่อการรุกคืบเข้ามา ของการรักร่วมเพศ

 

เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่า สาเหตุใด ที่ทำให้การรักเพศเดียวกัน ได้รับการสนับสนุน จนประสบความสำเร็จ อย่างน่าทึ่ง ในประเทศสวีเดน ก่อนอื่นเราจึงต้องดูที่ ประวัติศาสตร์ ของชาวสวีเดน ในช่วง 150 ปีกว่าที่ผ่านมา

ทั้งนี้ จะได้จำแนกประวัติศาสตร์ ของบ้านเมืองเรา ในช่วงสุดท้าย ของศตวรรษที่ 150 โดยแยกเป็น 3 ช่วง “เหตุการณ์ ” ตามการอ้างอิงที่ 42

1. ความยากจน และความเสื่อมโทรม ของจริยธรรม (ประมาณปี 1800-1883)

ในช่วงครึ่งหลัง ของศตวรรษที่ 19 ประเทศของเรา เต็มไปด้วย ความยากจนข้นแค้น และการถดถอย ของจริยธรรม ความมัวเมา และการเสพติดเหล้า ระบาดหนัก ในบทความเรื่อง “ประวัติศาสตร์ของประเทศสวีเดน” ซึ่งเรียบเรียงโดย Bonniers เมื่ออ่านในส่วนที่ 9 : ความเคลื่อนไหว ของอุตสาหกรรม และประชากรของชาติ กล่าวไว้ดังนี้ (แปลจากภาษาสวีเดน) : “ในรายงานประจำปีฉบับแรก ของกลุ่มชาวสวีเดนรุ่นใหม่ ไม่เสพเหล้ายา บาทหลวง Wieselgren ระบุไว้ว่า : ‘บางครั้งคนงานในไร่ ได้รับค่าแรงทั้งหมด ในรูปของเหล้ากลั่น และยังคงผูกมัดตัวเอง เพื่อหาเงินโดยทำงานเต็มปี แต่ไม่ได้รับค่าจ้าง และแรงงานผู้หญิง ก็เลือกที่จะรับค่าจ้าง ในรูปของเหล้ากลั่นเช่นเดียวกัน’ ”

2. กลุ่มเคลื่อนไหว ไม่เสพเหล้ายา และกลุ่มชีวิตใหม่คริสเตียน (ประมาณปี 1884-1960)

ในหนังสือเล่มเดียวกันนี้ (บทที่ 9 ของชุด “ประวัติศาสตร์ของประเทศสวีเดน The History of Sweden” เราอ่านพบว่า : ได้มีการก่อตั้ง กลุ่มเคลื่อนไหวสีน้ำเงิน (Blue Band ) ในปี 1883 และ กลุ่มสมาชิกนานาชาติ เพื่อต่อต้านสิ่งมึนเมา (The International Order of Good Templars –IOGT) ในปี 1884 ซึ่งแม้ว่าจะ มีการขัดแย้ง อย่างรุนแรง ภายในกลุ่มก็ ไม่สามารถ ขัดขวางก้าวที่ยิ่งใหญ่ ของกลุ่มเคลื่อนไหว ไม่เสพเหล้ายาได้ ลักษณะของยุคนี้ ได้รับอิทธิพลจากศาสนาคริสต์….ในปี 1909 กลุ่มเคลื่อนไหว ไม่เสพเหล้ายาชาวสวีเดน ซึ่งเพิ่งจะเริ่มก่อตั้งมาได้เพียง 1 ปี จัดให้มีการ ลงประชามติทั่วไป เกี่ยวกับเรื่องการห้ามผลิต และขายสุรา ผลการลงประชามติ แสดงให้เห็นภาพ ความเข้มแข็ง ของกลุ่มเคลื่อนไหว ไม่เสพเหล้ายาในขณะนั้น โดยมีจำนวน ผู้ลงคะแนนโหวต 1,884,298 คะแนน เท่ากับ 56% ของผู้มาลงคะแนนเห็นด้วย และคิดเป็น 99% ของผู้ที่ไปลงคะแนนจริง จึงนับว่าเป็น ผู้สนับสนุนการห้ามผลิต และจำหน่ายสุราล้วนๆ.......ในปี 1917 ได้มีการนำ “ระบบ bratt” มาใช้ ซึ่งก็คือผู้จะซื้อแอลกอฮอลล์ แต่ละรายจะต้องมี สมุดคู่มือการจัดปันส่วน (ภาษาสวีเดน “motbok”)

ผลการเคลื่อนไหว ของกลุ่มไม่เสพเหล้ายา และกลุ่มชีวิตใหม่คริสเตียน มีมากมายมหาศาล ครอบครัวมากมายหมดทุกข์โศก ความรู้สึกยินดีกระตือรืนร้น กระจายไปทั่ว และมีตัวอย่างมากมายของสภาพชีวิต “ก่อนและหลัง” ซึ่งสามารถพบได้ทั่วไป ทุกแห่งหน ประเทศของเรา ได้พ้นจากความยากจน และการเสื่อมโทรม ของจริยธรรมแล้ว ตามข้อมูลสถิติ ที่ได้กล่าวถึง ซึ่งข้าพเจ้าขออ้างถึง จากบทความต่อไปของ “ประวัติศาตร์ประเทศสวีเดน” “ในปี 1861-1865 อัตราเฉลี่ยของ การบริโภคสุรา (รวมผู้ใหญ่และเด็ก) คือ 10.7 ลิตรต่อประชากร ต่อมาในปี 1901-1910 ได้ลดลงเป็น 7.2 ลิตรต่อประชากร และในปี 1950 เป็น 5.2 ลิตร.......ปัจจุบันสมาชิกที่มีอยู่ ได้มีการรวมตัว และประชุมกันหลายครั้ง พวกเขาใช้เวลาว่าง ในการดำเนินงานเหล่านี้..... บรรดาเมืองและหมู่บ้านต่างๆ จึงได้ดำเนินรอย ตามกลุ่มเคลื่อนไหว ไม่เสพเหล้ายา และกลุ่มชีวิตใหม่คริสเตียน ”

นอกจากนี้ยังมีสาเหตุ อีกสองส่วน ที่ไม่ควรมองข้าม คือในช่วงเปลี่ยนผ่าน ของศตวรรษนั้น การทำเกษตรขนาดเล็ก จัดเป็นสภาพ เศรษฐกิจหลักของประเทศ และพื้นที่ทำไร่นา ก็ยังได้ปรับลดขนาดเล็กลงไปอีก เมื่อมีการแบ่งให้คนรุ่นต่อๆ มา ดังนั้น จึงมีการอพยพของคนสวีเดน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนยากจน จำนวน 1.5 ล้านคน (หนึ่งในสามของประชากรทั้งหมด) ไปอเมริกา ซึ่งทำให้แรงกดดันที่มีอยู่ลดลง และก็เช่นเดียวกับ สาเหตุของการ ปฏิวัติภาคอุตสาหกรรม ของประเทศสวีเดน และความเป็นจริงที่ว่า ประเทศสวีเดน มีทรัพยากรธรรมชาติ จำนวนมาก (เช่น อุตสาหกรรมการทำเหมือง และป่าไม้) จึงได้ทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโต

3. ยุคแห่งความถดถอยของจริยธรรม (ประมาณปี 1960 ถึงปีปัจจุบัน)

ประมาณช่วงกลางของศตวรรษสุดท้ายนี้ ประชาชนของเรา ได้รับผลดีจาก กลุ่มเคลื่อนไหว ไม่เสพเหล้ายา และกลุ่มชีวิตใหม่คริสเตียนอย่างเต็มที่ เมื่อกลุ่มคริสเตียนได้จากไป และเกิดศาสนจักรใหม่ที่ฟื้นฟู คำสอนของพระเยซูใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยสมาชิกโบสถ์ที่รัก และดูแลซึ่งกันและกันอย่างไม่เห็นแก่ตัว คนส่วนใหญ่เชื่อว่า วันหนึ่งจะสามารถ อธิบายต่อพระผู้สร้างได้ว่า พวกเขาได้อยู่อย่างไรและใช้ชีวิตเช่นไร กลุ่มเคลื่อนไหวที่ เชื่อในคำสอนของพระเยซู ในประเทศของเราได้ทำให้ ประเทศสวีเดนเป็นหนึ่ง ในประเทศยุโรป ที่มี “ความเชื่อในคำสอนของพระเยซู”มากที่สุด (ถ้าหากคำว่า คำสอนของพระเยซู หมายถึง การเชื่อถือในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นแนวทางแห่งการ ดำเนินชีวิตของมนุษย์ ในโลกนี้ ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียง “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ที่เป็นหนังสือ)

ปัจจุบันสถานการณ์ เปลี่ยนแปลงไป โดยสิ้นเชิง ในปี 2002 ได้มีการสำรวจโดยถามคำถาม ใน 25 ประเทศ (อ้างอิง ref.40) : “คุณเชื่อในพระเจ้าหรือไม่?” คำตอบยืนยันความเชื่อสูงที่สุด อยู่ที่ประเทศโปรตุเกส คือ 92 เปอร์เซ็นต์ รับว่าศรัทธาในพระเจ้า ประเทศสวีเดนอยู่ในอันดับท้ายสุดมี 32 เปอร์เซ็นต์ ที่รับว่าศรัทธาในพระเจ้า ในขณะที่สหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 84 เปอร์เซ็นต์ (ลำดับที่สามจากอันดับต้น) ประเทศสวีเดนยังอยู่ท้ายสุด เมื่อคำถามถามว่า : “คุณเชื่อในนรกหรือไม่?” และ ยังคงอยู่ในลำดับท้ายอีกครั้ง เมื่อตอบคำถามที่ว่า : “คุณไปโบสถ์อย่างน้อยเดือนละครั้ง ใช่หรือไม่?” ประเทศสวีเดน อยู่ลำดับท้ายที่ 8 เปอร์เซ็นต์ (ประเทศสหรัฐอเมริกา 48 เปอร์เซ็นต์)

แต่เหตุใด เพียงการสูญเสีย หลักความเชื่อ ในคำสอนของศาสนาคริสต์ของเรา จึงทำให้เกิดการสมสู่ แบบไม่เลือกหน้า และการสมสู่ที่ผิดธรรมชาติ ได้ปรากฏขึ้นที่ประเทศ อันเป็นที่รักของเราอย่างรวดเร็ว แม้ว่าการรักร่วมเพศ เป็นที่ยอมรับทางกฎหมายในปี 1944 แต่การเพิ่มขึ้นของการสมสู่แบบผิดปกตินี้ สูงขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 1970 ปัจจุบัน RFSL (กระบอกเสียงของพวกรักร่วมเพศในประเทศของเรา และได้รับเงินสนับสนุนจากภาษี) ทำหน้าที่ช่วยเยาวชนของเรา ในการทดสอบ เพื่อพยายามจะค้นหาว่า พวกเขามีรสนิยมทางเพศเช่นไร ในเว็บไซด์ของพวกเขาเขียนไว้ว่า (อ้างอิง ref.16 ) :

“ใครได้กับใครกันแน่? - เรื่องเกี่ยวกับเพศสำหรับคุณ ที่เป็นเยาวชนและ ‘พร้อม’

เด็กสาวได้พบหนุ่มน้อยที่น่าสนใจ หนุ่มน้อยได้พบกับอีกนายหนึ่ง ชายหนุ่มได้อยู่กับเด็กสาวน่ารัก ที่เพิ่งอยู่กับเด็กสาวอีกคน มาพิสูจน์ลักษณะทางเพศ ของคุณกันเถอะ! ว่าคุณเป็นอะไรแน่, ต้องการจะเป็นอะไร และอะไรที่คุณสงสัยอยากรู้ โลกได้เปิดกว้างแล้ว และมีสิ่งต่างๆ มากมายให้ทดสอบพิสูจน์ และทุกสิ่งทุกอย่าง มีความเป็นไปได้ และแน่นอน, คุณจะรู้สึกเสียใจมากกว่า หากคุณไม่ได้ทดลองในทุกๆ สิ่ง

(จบข้อมูลอ้างอิงจาก RFSL)

หากสิ่งนี้ ไม่ใช่ความพยายาม ในการชักชวน ที่เย้ายวนของ พวกรักร่วมเพศที่จะ ได้เหล่าเยาวชนมาร่วมในขบวน แล้วจะเป็นอะไรไปได้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และปฏิกิริยาของชุมชนชาว คริสเตียนมีอย่างไร บางทีความเข้าใจใน องค์ประกอบที่สำคัญ อาจจะเป็นสัญญาณ เตือนภัยแก่ประเทศอื่นได้

เหล่าคนที่ไม่เชื่อในศาสนา และพระเจ้าเริ่มมีอำนาจ ครอบงำชาวคริสเตียน ในราวปลายปี 1960 เมื่อรัฐบาลของเรา เริ่มจ่ายเงินสงเคราะห์ แก่นิกายต่างๆ ที่เข้าเงื่อนไขที่กำหนด ในระยะแรกการกระทำนี้ดูเหมือนจะ เป็นสิ่งที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีหลายส่วนเห็นว่า เหล่าโบสถ์อิสระ (Sw. “Frikyrka”) ไม่ควรได้รับเงินจากรัฐ (รวมถึงความเมตตาเห็นใจ) เนื่องจากจะเป็นกิ่งก้าน ของความเลวร้ายในอนาคต ปัจจุบัน ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าเป็นความจริง ปัจจุบันนิกายต่างๆ รวม 21 แห่ง ได้รับเงินหลายล้านดอลลาร์ จากรัฐบาลสวีเดน และปัจจุบันโบสถ์เหล่านี้ มีความขัดสนด้านการเงิน เงินบริจาคของรัฐบาล จึงมีความสำคัญ แต่เงื่อนไขปัจจุบัน ของรัฐบาล นับเป็นเรื่องใหญ่ สำหรับโบสถ์ต่างๆ เนื่องจากกฎหมาย ปัจจุบัน กำหนดว่า :

“เงื่อนไขของนิกาย ที่จะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐคือ จะต้องทำการสนับสนุน และสร้างความเข้มแข็ง แก่บรรดาสิ่งอันมีคุณค่า ที่ประกอบขึ้นเป็นสังคมของเรา และทำให้นิกายมีความยั่งยืน” ปัญหาของโบสถ์ ในปัจจุบันคือ “คุณค่าที่สร้างสังคมของเรา” ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง เมื่อ 30 ปีผ่านมา ทุกวันนี้สิ่งที่พระคัมภีร์ ระบุว่าเป็นสิ่งชั่วร้ายได้กลายเป็น “คุณค่าที่สร้างสังคมปัจุบันของเรา” ดังตัวอย่างนิกาย “Swedish Mission Association” (Swedish: “Svenska Missionsforbundet” หรือ “SMF” โดยในการประชุมประจำปี ของนิกายในเดือนมีนาคม 2002 ได้รับข้อเสนอว่า โบสถ์ท้องถิ่นสามารถจะ ตัดสินใจด้วยตัวเองได้ว่า จะยอมรับบาทหลวง ที่เป็นพวกรักร่วมเพศหรือไม่ สิ่งนี้ยังไม่เพียงพอ สำหรับสมาชิกสภา ของสวีเดน ที่เกรงว่าโบสถ์ท้องถิ่นเหล่านั้น อาจจะมีความคิด แบ่งแยกบาทหลวง ที่เป็นพวกรักร่วมเพศ แม้ว่าจะเป็นผู้มีคุณสมบัติ ที่เหมาะสมก็ตาม ดังนั้น รัฐบาลจึงเริ่มการตรวจสอบ นโยบายของ SMFs เกี่ยวกับการยอมรับ (หรือไม่ยอมรับ) พวกรักร่วมเพศ

ในฤดูร้อนปี 2002 ผู้นำของ SMF ไปอธิบายให้ความชัดเจน เกี่ยวกับตนเอง ที่ “กรมวัฒนธรรม” ภายหลังจากการประชุมและพิจารณา (วันที่ 8 กรกฎาคม 2002) Krister Andersson ผู้นำ SMF ประกาศว่าเขาพอใจมาก กับผลการประชุม (อ้างอิง ref.41) อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่า มีข้อตกลง จากผลการประชุมอย่างไรบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ SMF – ตลอดจนถึงนิกายอื่นๆ ที่ต้องพึ่งพาเงินสนับสนุนของรัฐ - ถูกห้ามไม่ให้ต่อต้าน และแบ่งแยกพวกรักร่วมเพศ ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ที่จะเป็นบาทหลวง และผู้ช่วยบาทหลวง และเป็นไปตามความคาดหมาย เมื่อ Krister Andersson ผู้นำ SMF และอีกหลายคน ที่ชื่นชอบกฎหมายใหม่ ซึ่งเป็นกฎหมาย ที่เป็นเหตุให้ Ake Green ถูกคุมขังเมื่อทำการเทศน์ที่อื้อฉาว เกี่ยวกับเรื่องบาปทางเพศ (อ้างอิง ref.42 ) ในจดหมายประจำสัปดาห์ ที่เขามีถึงสาวกเขียนว่า......ตลอด 35 ปีของการเป็นบาทหลวง และอีก 50 ปีของการฟังเทศน์ เขาไม่เคยประสบสถานะการณ์ว่า ข้อความเกี่ยวกับ เรื่องการรักเพศเดียวกัน ซึ่งเป็นข้อความย่อย ในพระคัมภีร์ได้กลายเป็น เรื่องสำคัญที่จะต้องนำมาเทศน์ Andersson คิดว่าชาวคริสเตียนอื่นๆ คงคิดเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงไม่สามารถจะ แสดงความชัดเจนได้มากไปกว่านี้อีก ซึ่งคงไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่า ด้วยเหตุใด SMF จึงตัดสินใจเปิดประตูต้อนรับ บาทหลวงที่เป็นพวกรักร่วมเพศ ในปี 2002

Krister Andersson ไม่ได้เป็นบาทหลวงเช่นนั้น เพียงคนเดียว แต่ได้มีการแทรกซึม ลึกเข้าไป ในนิกายต่างๆ ของเรามากมาย และหากท่านคิดว่า นี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายแล้ว ท่านควรจะได้รับรู้ว่า ทำไมชาวคริสเตียนเรา จึงมีการวิจารณ์ที่รุนแรงบ้าง และเล็กน้อยบ้าง เมื่อ Ake Green เทศน์ ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2003 ในบทแรกจะเกี่ยวข้องกับ เรื่องการรักเพศเดียวกัน ตลอดจนกามวิปริตทุกประเภท (ในบทที่สองเกี่ยวกับความเมตตา และการให้อภัยจากพระเจ้า) บทเทศน์ดังกล่าว ไม่เคยได้ยินมาก่อน ในประเทศของเรา เมื่อหลายปีที่ผ่านมา แต่ได้ยินแล้วในปัจจุบัน

นอกจากนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าบาทหลวง ที่เป็นหนึ่งในผู้นำของ SMF ได้รับเลือกเป็นผู้นำสูงสุด ของโบสถ์เพนติคอสทอลในสวีเดน และ ฟิลาเดลเฟียในกรุงสต็อกโฮม

ในฤดูใบไม้ผลิปีต่อมา (วันที่ 11 มีนาคม 2003) นาย Hans Ytterberg “ผู้ตรวจการรัฐสภา” ของกลุ่ม สนับสนุน การรักร่วมเพศจัดประชุม ระหว่างผู้นำ 21 นิกาย ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล เพื่อจะบรรยาย ให้รับทราบถึงทัศนคติ และนโยบาย ที่จะต้องเป็นไป ในแนวทางเดียวกับ กลุ่มสนับสนุน การรักร่วมเพศ โดยไม่ผิดเพี้ยน (อ้างอิง ref.43 ) สิ่งนี้คือข่าวที่น่าหวาดกลัว โดยแท้จริง สำหรับนิกายทั้งหลาย ที่ในอดีตเคยเป็นอิสระ จากการแทรกแซงของรัฐบาล ในเรื่องเกี่ยวกับ หลักการของพวกเขา และผลสืบเนื่องจาก การประชุม กับผู้ตรวจสอบของรัฐ ที่เป็นคนรักร่วมเพศ (Ytterberg) ในปีต่อๆ มารัฐบาล ได้ประกาศว่า จะทำการตรวจสอบนิกายต่างๆ ในระหว่างฤดูใบไม้ผลิ เพื่อจะตรวจสอบว่า ได้มีการแบ่งแยก พวกรักร่วมเพศหรือไม่ (อ้างอิง ref.44)

ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว พวกสนับสนุนรักร่วมเพศ ได้รุกเข้าเกาะกุม โบสถ์ในสวีเดน (ซึ่งเดิมเป็นโบสถ์ประจำรัฐลูเธอรัน) ปัจจุบันนิกายมากมาย แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด (มักจะเรียกกันว่า “โบสถ์อิสระ” เพราะพวกเขาเคย เป็นอิสระ จากการควบคุมของรัฐบาลมาก่อน) ไม่ยอมรับ บาทหลวง หรือสมาชิกทั่วไป ที่แสดงอย่างเปิดเผยว่า ตนเองคือพวกรักร่วมเพศ พวกเขาจัดว่าเป็นพวกที่อยู่ใน “เขตอิสระ” ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยว่า สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ผู้สนับสนุน การรักเพศเดียวกันไม่พอใจ

ตัวอย่างที่น่าเศร้าอีกกลุ่มคือ กลุ่มเคลื่อนไหวเพนทิคอสทอล (Sw: “Pingstrorelsen”) นิกายนี้ เป็นนิกายที่ใหญ่ที่สุด ในประเทศของเรา และมีความรุ่งเรือง ระหว่างปี 1910-1960 Lewi Pethrus เป็นผู้บุกเบิกและผู้นำของ “โบสถ์อิสระ” ที่ใหญ่ที่สุดในระหว่างปี 1910-1958 เขาเสียชีวิต ในเดือนกันยายน 1974 และยังได้เริ่มก่อตั้ง พรรคการเมืองในสวีเดน ชื่อกลุ่มพันธมิตรประชาธิปไตยชาวคริสเตียน (ปัจจุบันคือ Christian Democrats (Swedish: “Krisdemokraterna” หรือ “KD” ) Pethrus ยังได้เริ่มก่อตั้งหนังสือพิมพ์รายวัน สำหรับชาวคริสเตียนชื่อ “The Day” (ภาษาสวีเดน: Dagen)

ถ้าหาก Pethrus ยังมีชีวิตอยู่ถึงวันนี้ เขาคงจะจำกลุ่มเคลื่อนไหว “Pingstrorelsen” ไม่ได้ การถดถอยของจริยธรรม ในปัจจุบันได้คืบคลาน เข้าในฝูงชน ในท่ามกลางเยาวชนถือว่า การมีเพศสัมพันธ์ ก่อนแต่งงาน เป็นเรื่องธรรมดา และบางโบสถ์ เริ่มอ้าแขนต้อนรับ คนที่รักเพศเดียวกัน ดังนั้น จึงไม่เป็นเรื่องแปลก ที่จะเห็นองค์การยุวชนของ KD เลือก Eric Slottner ซึ่งเป็นพวกรักร่วมเพศ ให้เป็นผู้นำ

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีกลุ่มเคลื่อนไหว เพื่อเผยแพร่คำสอน ของพระเยซู เพื่อการกุศลทั้งกลุ่มใหญ่ และกลุ่มเล็กในประเทศสวีเดน สิ่งที่นิกายเพนทิคอสทอล (“Pingstrorelsen”) – ซึ่งปัจจุบัน ต้องพึ่งพารัฐบาล สนับสนุนด้านการเงิน - และเคยทำหน้าที่ในองค์กร ที่ปัจจุบันคือ คำสอนแห่งชีวิต (“Livets Ord”) และภายใต้การนำของ Ulf Ekman - “คำสอนแห่งชีวิต” –ไม่ได้รับการสนับสนุน จากรัฐบาลของเรา แต่พวกเขา ได้รับความสนใจอย่างยิ่ง จากเหล่าเยาวชน

ดังนั้น จึงไม่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ เมื่อเราพบแง่มุมตรงกันข้าม แตกต่างกันจากผู้นำของ “กลุ่มเคลื่อนไหวเพนทิคอสทอล” “Pentecostal Movement” และผู้นำของ “กลุ่มคำสอนแห่งชีวิต” “The word of Life” จากการเทศน์ของบาทหลวง Ake Green (ที่ปัจจุบันมีชื่อเสียงโด่งดัง) โดยเทศน์บนธรรมาสน์ ในโบสถ์เพนทิคอสทอลเล็กๆ ในเมืองบอร์กโฮล์ม เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2003 ชื่อหัวข้อคำสอนคือ “การรักเพศเดียวกัน เป็นมาแต่กำเนิด หรือมีสาเหตุจากแรงผลักดัน ของความชั่วร้าย ของจิตใจที่อยากลอง” เนื้อหาคำสอนเกี่ยวกับ ความสำส่อนทางเพศ และพฤติกรรมทางเพศ ที่ไร้จริยธรรมทุกประเภท คำสอนของ Green เต็มไป ข้อมูลอ้างอิงจากพระคัมภีร์ เหตุผลของการสอน มีใจความสำคัญที่บาทหลวง Green รู้สึกเกี่ยวกับ การไร้ทิศทาง ของจริยธรรมของประเทศ และเยาวชนของเรา ต่อมา Green ได้ถูกฟ้องร้อง ภายใต้กฎหมายที่แปลก และใหม่ของชาวสวีเดน ชื่อ “การต่อต้านการยุยง ให้ใช้ความรุนแรง กับกลุ่มต่างๆ” ออกเป็นพระราชบัญญัติ ในช่วงต้นปี 2003 – ซึ่งห้ามบุคคล “แสดงอาการไม่เคารพ” หรือ “ต่อต้าน” ทุกๆ “กลุ่มชน”

ดังนั้น Green จึงถูกตัดสินลงโทษ ในศาลชั้นต้น และพิพากษาให้จำคุก ในการอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา (ภาษาสวีเดน: “Hogsta Domstolen” หรือ “HD”) บาทหลวง Green ให้การอย่างชัดเจน ถึงความเชื่อ และเหตุผลของการเทศน์ ในลักษณะนี้ คือ :

“เอ่อ พื้นเรื่องเดิมคือในปี 2002 ข้าพเจ้ามีประสบการณ์ อันเหนื่อยยากลำบากใจ มีสิ่งทำให้เกิดความวุ่นวายใจ เมื่อข้าพเจ้าตระหนักว่า (ที่ข้าพเจ้า ได้เคยกล่าวถึงไว้ในการเทศน์ ) คือมีสิ่งต่างๆ รอบตัวมากมาย ที่ข้าพเจ้าสังเกตได้ว่า เป็นวิถีชีวิตของคนรักร่วมเพศ มันมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง อยู่ในโทรทัศน์ มันอยู่รอบๆ ตัวข้าพเจ้า และสื่อมวลชน ก็มีความพยายาม จะหลอกล่อ ให้เข้าสู่วิถีชีวิตแบบรักร่วมเพศ แล้วข้าพเจ้าก็รู้สึกเจ็บลึกอยู่ในใจ ยิ่งสิ่งนี้ กลืนกิน สังคมเรามากเท่าไร ข้าพเจ้า ก็ยิ่งคิดว่า บรรดาผู้นำของโบสถ์ นิกาย และพระชั้นผู้ใหญ่ เป็นต้น ควรจะมาร่วมกันประกาศให้รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา วิถีชีวิตเช่นนี้เป็นสิ่งผิดปกติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นในปี 2002 ดังนั้น ในช่วงต้นปี 2003 ข้าพเจ้าจึงได้เริ่มเตรียมพร้อม สำหรับการเทศน์ ที่ข้าพเจ้า ได้ดำเนินการขึ้น ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2003 และหลังจากเหตุการณ์นั้น ข้าพเจ้ารู้สึกถึงบางสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งข้าพเจ้าจะขออ้างถึง บทโคลงในพระคัมภีร์ ซึ่งค้นพบใน Ezekiel 3:17-19 :

บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เราได้กระทำให้เจ้าเป็น ยามเฝ้าวงศ์วานอิสราเอล; เจ้าได้ยินถ้อยคำจากปากของเราเมื่อไร เจ้าจงกล่าวคำตักเตือนเขาจากเรา ถ้าเราจะบอกแก่คนชั่วว่า: เจ้าจะต้องตายแน่ๆ; และเจ้าไม่ตักเตือนเขา หรือกล่าวเตือนคนชั่ว ให้ละทิ้งทางชั่วของตนเสีย เพื่อจะช่วยชีวิตเขาให้รอด; คนชั่วนั้นจะตาย เพราะความชั่วช้าของเขา; แต่เราจะเรียกร้องโลหิตของเขา จากมือของเจ้า แต่ถ้าเจ้าได้ตักเตือนคนชั่ว และเขามิได้หันกลับ จากความชั่วของเขา หรือจากทางชั่วของเขา เขาจะตาย เพราะความชั่วช้าของเขา; แต่เจ้าจะได้ช่วยชีวิตของเจ้า ให้รอดพ้นมาได้

สิ่งที่ข้าพเจ้าจะกล่าวก็คือ ข้าพเจ้ามีความรับผิดชอบ ในฐานะผู้รับใช้ของโลก ซึ่งข้าพเจ้าไม่สามารถวางภาระ ไว้บนบ่าของผู้นำนิกายต่างๆ หรือพระชั้นผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ข้าพเจ้ามีความรับผิดชอบ ตามคัมภีร์ ที่จะต้องรู้จักเกรงกลัวบาป และจะต้องทำให้ ผู้คนรู้ว่าวิถีชีวิตที่เป็นอยู่ ของเขานั้น ไม่ถูกต้อง จากนั้นข้าพเจ้าได้เผยแผ่ว่า หากพวกเขาพากับ กลับตัวกลับใจ ไปตามพระคริสต์ พวกเขาจะไม่ถูกคำพิพากษา และข้าพเจ้าก็ปล่อยให้พวกเข าตัดสินใจเองว่าต้องการจะ ดำรงชีวิตเป็นคนรักเพศเดียวกัน หรือกลับใจใหม่ ดังนั้น นี่คือจุดประสงค์ของ การเทศน์ซึ่ง ข้าพเจ้าได้เตรียมไว้ตั้งแต่ต้นปี 2003”

(จบคำให้การของบาทหลวง Green ก่อนที่จะไปสู่ศาลฎีกา)

สำหรับคำสอน ของบาทหลวง Green และรายละเอียดที่มาที่ไป รวมทั้งประเด็น ทางกฎหมาย ที่เกี่ยวเนื่องกับ การไต่สวน คลิกที่นี่เรื่องที่สมควรทราบคือบาทหลวง Green เป็นบาทหลวงที่อยู่ใน “กลุ่มเคลื่อนไหวเพนทิคอสทอล” “Pentecostal Movement” มาเป็นเวลาหลายปี

ดังได้กล่าวมาแล้ว ความเห็นของผู้นำ “นิกายเพนทิคอสทอล” มีความแตกต่าง จากความเห็นของผู้นำ “กลุ่มคำสอนแห่งชีวิต”

4. นิกายเพนทิคอสทอล

ในวันที่ 13 มิถุนายน 2004 เพียงสองวันก่อน การพิจารณาคดีของ Green ในศาลชั้นต้น ผู้นำโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุด ของนิกายเพนทิคอสทอล (บาทหลวงHedin แห่ง “โบสถ์ฟิลาเดลเฟีย” ในกรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน) เห็นชอบในการ ให้สัมภาษณ์กับ Svenska Dagbladet แห่ง หนังสือพิมพ์รายวันสวีเดน Hedin กล่าวไว้ดังนี้ (อ้างอิง ref.45): “ข้าพเจ้าพบว่าเป็นสิ่งไม่เหมาะสมที่ Green ไปพูดเกี่ยวกับผู้คนกลุ่มต่างๆ และข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าคำพูดของเขาน่าเชื่อถือ นิกายเพนทิคอสทอล ไม่ได้ต่อต้านในสิ่งที่เขาพูด นี่เป็นเพียงว่าข้าพเจ้ามีความเห็นส่วนตัว ที่แตกต่างออกไป”

ดังนั้น ตามที่Hedin กล่าวไว้ว่า “ไม่สามารถ เชื่อถือคำพูด” ของ Green แม้ว่า คำสอนของเขา ล้วนอ้างอิงมาจากคัมภีร์ไบเบิล (Click here for a full transcript of Green’s sermon on July 20, 2003) (คลิกที่นี่ เพื่อดูบันทึกคำสอนทั้งหมด ของ Green ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2003)

และในอีกสองวันต่อมา (ในวันที่มีการพิจารณาคดี ของ Green) Hedin ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ (Dagen) ของเขา ได้กล่าวในทำนองเดียวกัน (อ้างอิง ref.46) ลองคิดดูว่า เป็นการง่ายสำหรับ Hedin ที่จะทำให้ผิดกลายเป็นถูก และนัดแนะกับคณะลูกขุน (เรียกว่า “namndeman”) –ซึ่งบ่อยครั้งเป็นเพราะ ความทะเยอทะยานทางการเมือง-พวกเขาจึงพิพากษา Green จำคุกหนึ่งเดือน ในวันที่ 29 มิถุนายน 2004 พวกเขากำหนดไว้ ที่หนึ่งเดือน เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่ Green ทำความผิด และไม่มีประวัติอาชญากรมาก่อน Ake Green เป็นบาทหลวงที่ศรัทธา ในนิกายเพนทิคอสทอล มาเป็นเวลา 33 ปี – กล่าวว่า “เหมือนถูกเพื่อนบาทหลวงด้วยกัน เอามีดแทงข้างหลัง”

ภายหลัง การพิพากษาคดีของเขา บาทหลวง Green ได้รับจดหมาย จาก “พี่น้อง” บาทหลวงในโบสถ์ของ Hedin (ฟิลาเดลเฟีย) ในกรุงสต็อกโฮล์ม เขาเขียนว่า เขาเป็นพวกรักร่วมเพศ ซึ่งทั้งตัวเขา และเพื่อนรู้สึกว่า การเป็นสมาชิกของโบสถ์Hedin นั้น เป็นเหมือนคนบ้านเดียวกัน นอกจากนี้ยังได้เพิ่มเติมว่า เป็นเหมือนการ “พูดจาภาษาเดียวกันกับคนอื่น” และเยาวชนที่เป็นผู้นำของกลุ่ม KD “Christian” (ตั้งขึ้นโดย Lewi Pethrus ผู้นำคนล่าสุดของเพนทิคอสทอล) คือเด็กหนุ่ม(อีริค สลอทเทอ)ที่ปฏิญาณ และเปิดเผยตัวว่าเป็นพวกรักร่วมเพศ และเป็นผู้ประกาศว่า Green สมควรถูกพิพากษา ให้จำคุก จากคำสอนของเขาแล้ว

หลายคน คงทราบกันแล้วว่า นี่คือหลักฐานที่ชัดเจน ว่าบางสิ่งที่สำคัญ ได้สูญหายไปจาก การคำสอนของศาสนาคริสต์ อย่างน่าเจ็บปวด พวกเขาโต้แย้งว่า คุณสมบัติความเป็นพระเจ้า ยังคงเหมือนเดิมนับแต่เริ่มปรากฏ มันเป็นความจริงที่พระเจ้า มีความสัมพันธ์พิเศษกับชาวอิสราเอล ที่เป็น “คนของพระองค์” ในพระคัมภีร์โบราณมีบทบัญญัติ สำหรับชาวยิว แต่ไม่ใช่สำหรับผู้ศรัทธา ในพระเจ้ารายอื่นๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คุณสมบัติ (ธรรมชาติ) ความเป็นพระเจ้าเปลี่ยนแปลงไป นั่นคือเป็นบุคคล ที่ไม่ตายตลอดกาล เป็นบุคคลคนเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเมื่อวาน วันนี้หรือวันพรุ่งนี้ แล้วเหตุใด จึงเปลี่ยนแปลงฉับพลัน เป็น 180 องศา เหตุใดบุคคล ที่เคยกล่าวว่า (พระคัมภีร์บทที่ 18:22-25): “เจ้าจะโกหกไม่ได้ ทั้งต่อผู้ชายและผู้หญิง เพราะมันเป็นสิ่งน่ารังเกียจ และห้ามเจ้าเป็นคู่กับสัตว์ใดๆ.....” ปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ ได้กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วหรือ ถ้าเขารังเกียจบาป ในเรื่องประเวณี ที่เป็นการรักเพศเดียวกัน หรือการสมสู่กับสัตว์ ( ซึ่งแม้ว่าจะทำให้ ถูกลงโทษอย่างหนัก) แล้วทำไมปัจจุบันถึงได้ยอมรับกันแล้ว และพระเยซูเองยังเปรียบเทียบว่า การที่ชายรักชาย เป็นบาปที่เลวร้ายยิ่งกว่า ดังนั้น หากคิดให้เป็นธรรม แก่บาทหลวง Hedin สิ่งที่ควรจะเป็นก็คือ (ซึ่งมีความเชื่อ ที่แตกต่าง จากผู้นำนิกายอื่น) ได้ประกาศต่อสาธารณะว่า ตัวเขาเองเชื่อว่าการรักเพศเดียวกัน เป็นบาปอย่างมหันต์

ในพัฒนาการไม่นานมานี้ บาทหลวงHedin ได้ลาออกจาก ตำแหน่งผู้นำของโบสถ์ ที่ใหญ่ที่สุด ของนิกายเพนทิคอสทอล (โบสถ์ฟิลาเดลเฟีย ในกรุงสต็อกโฮล์ม) และมีผู้มาแทน ที่ในวันที่ 22 ตุลาคม 2006 คือบาทหลวงนิคลาส ปิเอนซอฮอ มาจากนิกาย SMF (ดูด้านบน) โดยไม่นานมานี้ นิกายประสบปํญหา ด้านการเงิน ซึ่งบางทีเนื่องจาก การลดลงของฐานสมาชิก และไม่ได้รับการบริจาค จากสมาชิกที่คงเหลืออยู่

5. กลุ่มคำสอนแห่งชีวิต

ในอีกแง่หนึ่ง ผู้นำของกลุ่มคำสอนแห่งชีวิต (บาทหลวง Ulf Ekman) ได้กล่าวในวันที่ 2 สิงหาคม 2004 ไว้พาดหัวตัวใหญ่บน หนังสือพิมพ์รายวันของพวกเขา ชื่อ ( คำสอนแห่งชีวิต) (“Variden Idag”) (อ้างอิง ref.47) : “Ake Green มีผู้สนับสนุนอยู่ที่นี่ 5,500 คน” บทความท่อนต่อมา (บางส่วน) : “ ‘ขอให้พระเจ้าอวยพรให้ Ake Green เมื่อบาทหลวง Ulf Ekman กล่าว ผู้อยู่ในโบสถ์ ก็ลุกขึ้นพร้อมกัน และปรบมือ.... Ekmanกล่าวต่อว่า: ‘เป็นเรื่องน่าละอาย สำหรับชาวคริสเตียนในสวีเดน เมื่อไม่มีผู้นำนิกายคนใด ประกาศตัวว่าสนับสนุน Ake Green’

เช่นเดียวกับปฏิกิริยา ระหว่าง “Dagen” และ “Variden Idag” ที่ได้กล่าวถึงในข้างต้น ซึ่งไม่เป็นเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจ ที่ปรากฏว่า :

1. “Dagen” ซึ่งเป็นหนึ่ง ในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นรายวัน 14 ฉบับ (จากทั้งหมด 42 ฉบับ) ได้ปฏิเสธ การลงโฆษณาเว็บไซต์ เมื่อข้าพเจ้าเริ่มเปิดตัว (ในภาษาสวีเดน) ในฤดูร้อนปี 2006 ปัจจุบันชาวคริสเตียน ในประเทศเรายังคงอ่าน Dagen และอีกฉบับ คือ

2. “Varlden idag” เป็นหนึ่งใน 28 ฉบับ ของหนังสือพิมพ์รายวัน (จากทั้งหมด 42 ฉบับ) ที่ยอมรับ การขอลงโฆษณา ในหนังสือพิมพ์ของพวกเขา เมื่อมีการเปิดตัวเว็บไซต์นี้ ในฤดูร้อนปี 2006

ประเด็นปัญหาของหลักคำสอน

คำถามเกี่ยวกับ คำสอนในพระคัมภีร์ ในเรื่องเกี่ยวกับการรักเพศเดียวกัน จะทำอย่างไร พวกที่เป็นนิกาย “โบสถ์อิสระ” เช่น นิกายเพนทิคอสทอล จะทำอย่างไรกับคำสอนนี้

โบสถ์หลวงเก่าแก่ -ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า “โบสถ์สวีเดน” ภายหลังได้แยกออกจากรัฐ – ได้มีบทบาทนำ ในการเสนอหลักการใหม่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และนิกายอื่นได้ปฏิบัติตาม ประเด็นเร็วๆ นี้ ที่ปรากฏ ในนิตยสารยุวชนเพนทิคอสทอล ชื่อ Gyro (จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์กลุ่มฟิลาเดลเฟีย) หลักคำสอนใหม่นี้ เปิดประเด็นใหม่ เรื่องการรักเพศเดียวกัน (อ้างอิง ref.48) Gyro นำเสนอ “การแปลความหมาย” คัมภีร์ไบเบิลไว้เป็นสองลักษณะ ซึ่งแตกต่างกัน โดยไม่มีแนวทาง บอกต่อกลุ่มผู้นำเยาวชน ว่าความหมายใดที่ถูกต้อง ภายใต้หัวข้อ “คนลักเพศ-ยอมรับหรือไม่” การแปลความทั้งสองด้าน วางไว้คู่กันภายใต้หัวข้อรอง และ “เห็นด้วย” ในช่อง “ไม่เห็นด้วย” เขียนประเด็นดั้งเดิม ตามที่พระคัมภีร์ระบุไว้ ในช่อง “เห็นด้วย” เขียนคำแปลความหมายที่แปลกใหม่ ไว้ดังนี้ (อ้างอิง ref.49):

เมื่อ Pual เขียนเกี่ยวกับ “การผิดธรรมชาติ”ในคำสอน Romans 1:26-27 ที่เกี่ยวกับการ

ผิดประเวณีใน 1 Cor. 6:9-10 นั้นเป็นการพูดถึง การที่ผู้ชายที่โตกว่ารังแกทางเพศเด็กชาย

ดังนั้น ข้อความนี้จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับเรื่อง ความสัมพันธ์ของชาวรักร่วมเพศของเรา

ในบทความของ Gyro ไม่มีตัวบ่งบอกแก่เหล่ายุวชน ที่อ่านว่าในสองคำแปลนั้น คำแปลใด เป็นคำแปล ตามคัมภีร์คริสต์ศาสนา ทำไมสิ่งที่พระเจ้า พระเยซู และเหล่าสาวกประกาศ ว่าเป็นสิ่งน่ารังเกียจ และสกปรก ถึงได้แปลงร่างใหม่ กลายเป็นบางสิ่ง ที่ถูกต้องสมบูรณ์ ตามคำสอนของคำสอนพระคัมภีร์ไบเบิล สิ่งนี้ทำให้จิตใจ รู้สึกลังเล ในเมื่อพระเยซูเอง ได้เคยเปรียบเทียบว่า การที่ผู้ชาย มีความสัมพันธ์ทางเพศ กับผู้ชายด้วยกัน ถือเป็นบาปมหันต์ (Matt. 11:24)

ใน Gyro ฉบับเดียวกันนี้ เราได้พบบทความมากมาย ที่ผ่านการ “ตกแต่ง” เรื่องการรักเพศเดียวกัน ให้เหมือนเป็น บางสิ่งที่ธรรมดาสามัญ และเป็นที่ยอมรับได้ สำหรับคริสเตียนทั่วไป มีบทความหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่อง “สเตฟาน” เด็กหนุ่มอายุ 18 ปี ที่ประกาศตัว เป็นพวกรักร่วมเพศ และ “พระเจ้าทรงสนับสนุน อย่างจริงใจ” ในพัฒนาการของเขา (อ้างอิง ref.50) เด็กหนุ่มที่น่าสงสารนี้ สมควรได้รับคำแนะนำปรึกษา และไม่ควรให้นักข่าว ที่ไร้ความรับผิดชอบ และใจดำที่ต้องการเพียงหยิบฉวยเรื่องราว เพื่อนำคำสัมภาษณ์ ไปลงตีพิมพ์ เปิดเผยสู่สาธารณะ ซึ่งทำให้เด็กหนุ่มนี้ ถูกตราหน้าประณามไปก่อนแล้ว โดยเหตุนี้ Gyro ซึ่งเป็นสิ่งตีพิมพ์ สำหรับผู้นับถือศาสนาคริสต์ หากต้องการจะทำให้ ชีวิตทางเพศของสเตฟาน เป็นเรื่องสาธารณะ ก็ขอให้เห็นแก่พระเจ้า (ซึ่งข้าพเจ้าหมายถึง “เห็นแก่พระเจ้า”) ทำไมจึงไม่กระตุ้นให้เยาวชน ที่อ่านพากันสวดอวยพร ขอให้สเตฟาน ได้รับการปลดปล่อย เพราะหากไม่ทำเช่นนั้นแล้ว ในไม่ช้าสเตฟานคง ไปปฏิบัติตามคำแนะนำใน “คู่มือเกี่ยวกับทวารหนัก” ของเว็บไซต์RFSL (อ้างอิง ref.13) และสิ่งที่รอคอยเขาอยู่ ไม่ใช่ภาพของความสนุกสนาน หรือความมีเหตุมีผล ในแบบที่นิตยสาร พยายามจะ สื่อให้แก่ผู้อ่าน ที่เป็นเยาวชนเหล่านั้น วิถีชีวิตของ พวกรักเพศเดียวกัน เป็นเพียงความก้าวหน้า ที่เบี่ยงเบนทางเพศ

เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ในนานาประเทศ ว่าศาสตราจารย์ Chrys Caragounis เป็นผู้นำที่ มีอิทธิพลต่อ คำสอนแนวใหม่ ของพระคัมภีร์ เมื่อเขาพิมพ์หนังสือเล่มล่าสุดชื่อ “การรักร่วมเพศ” “Homoerotik” (จัดพิมพ์โดย XPMedia (อ้างอิง ref.51) เขาปฏิเสธ แนวทางการตีความใหม่ ที่เร้าใจของคำสอนเดิม ในพระคัมภีร์ไบเบิล ที่สอนเกี่ยวกับการรักร่วมเพศ ตามที่ K.G. Hammar และ นิตยสาร Gyro ได้นำเสนอไว้ ดังนั้น เขาจึงถูกโจมตี จากกลุ่มสนับสนุนพวกรักร่วมเพศ ต้องการให้เขาลาออก จากการเป็นศาตราจารย์ ที่มหาวิทยาลัยลุนด์

ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า การเริ่มตีความคำสอนที่แปลกใหม่ เริ่มมาจาก “โบสถ์สวีเดน” ซึ่งเคย

ดำรงฐานะ เป็นโบสถ์หลวงลูเธอรัน (“Svenska Statskyrkan”) ปัจจุบัน โบสถ์

สวีเดนปกครอง โดยผู้นำที่ต้องพึ่งพา พวกรักร่วมเพศอย่างมาก แน่นอนว่า ไม่ใช่ว่าบาทหลวงทุกคน จะเป็นพวกรักร่วมเพศ แต่ผู้นำส่วนใหญ่จะเป็น และบาทหลวงรักร่วมเพศจะทำพิธี “อำนวยพร” ให้กับความสัมพันธ์ ของพวกรักร่วมเพศ ซึ่งเป็นการผลักดัน ให้เกิดพิธีการแต่งงาน ของพวกรักร่วมเพศ ที่สมบูรณ์แบบ และกลายเป็นสิ่งที่ทำกันทั่วไป ในโบสถ์สวีเดน เป็นต้น ในการนี้ พระราชาคณะ K.G. Hammar ผู้เผยแพร่ศาสนาของเรา ได้ช่วยย้อมให้พัฒนาการที่เลวร้าย และจริยธรรมที่ตกต่ำนี้ ดูกลมกลืน นอกจากนี้ ยังได้สร้างเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่า เรื่องการรักเพศเดียวกัน โดยได้ปฏิเสธอำนาจปาฎิหารย์ของพระเยซู คำประกาศของเขาเมื่อเร็วๆ นี้เกี่ยวกับเรื่อง การกำเนิดจากเพศบริสุทธิ์ของพระคริสต์ คือ (อ้างอิง ref.52) : “ข้าพเจ้าไม่สามารถพูดว่าเชื่อในสิ่งนั้น แต่สิ่งที่สำคัญคือคำพูดนั้น มีความหมายว่าอะไร หรือกำเนิดจากเพศบริสุทธิ์ที่แท้จริง อาจจะหมายความถึง ความสัมพันธ์ที่ผิดปกติ สำหรับข้าพเจ้าแล้วการพูดว่า พระเยซูมีความพิเศษนั้น เป็นเพียงคำพูดในทางทฤษฎีเท่านั้น ท่านไม่ได้เป็นผู้เดียวในโลกแห่งประวัติศาสตร์ ที่มีผู้กล่าวว่ามีกำเนิดจากเพศบริสุทธิ์”

อย่างไรก็ตาม แม้จะพูดเช่นนั้น บาทหลวง Hammar ก็ต้องยืนสอนในโบสถ์ ท่ามกลางการชุมนุมของสาวก และทำการพูดสอนครั้งแล้วครั้งเล่า จากบทคำสารภาพ ในความศรัทธาของลูเธอรัน : “ข้าพเจ้าเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ บุตรแห่งพระเจ้า พระบิดา ผู้ซึ่งกำเนิด จากพระแม่มารีผู้เป็นพรมจรรย์... ถามจริงๆ เถิดคำสอนเหล่านี้ เป็นเรื่องหลอกลวงไปแล้วหรือ มันจึงเป็นเรื่องไม่แปลกเลย เมื่อพระราชาคณะ Hammar ประกาศว่า บางตอนของคัมภีร์ไบเบิล ที่แท้จริงแล้วเป็นเพียง “เศษขยะทางประวัติศาสตร์กองหนึ่ง”

น้องสาวของ Hammar (Anna Karin Hammar) คือ แม่ชีที่เป็นเลสเบี้ยน ในโบสถ์ลูเธอรัน ใน Uppsala ซึ่งเธอมีคำกล่าว ที่โน้มเอียง ไปตามลักษณะทางเพศของเธอว่า :

“สถานการณ์ของข้าพเจ้าคือ ข้าพเจ้าสามารถอยู่แบบ คนรักร่วมเพศได้แน่นอน เพราะข้าพเจ้าได้รับ คำอำนวยพร จากพระเจ้าอย่างมาก ซึ่งช่วยให้ผ่านพ้น จากเหล่าอคติ และการแบ่งแยกดูถูก” (Uppsala Nya Tidning, วันที่ 17 พฤศจิกายน 2004)

มูลนิธิเพื่อการเผยแพร่คำสอน ของพระคริสต์แห่งชาติ (Sw.: “Evangeliska Fosterlands Stiftelsen” หรือ EFS) คือกลุ่มการเคลื่อนไหว ของคนทำงานในโบสถ์ (ลูเธอรัน) สวีเดน ซึ่งเน้นการเผยแพร่ศาสนา และงานอื่นทั่วไป ชาว EFS มีคณะเผยแพร่ศาสนาในเอธิโอเปีย เป็นเวลานาน ในปี 1959 องค์กรต่างๆ จากหลายประเทศ ร่วมกันทำงานในเอธิโอเปีย และร่วมกันต่อตั้ง กลุ่มเคลื่อนไหว Mekane Yesus เพื่อเผยแพร่คำสอนพระเยซู แห่งเอธิโอเปีย (EECMY) ดังนั้น เราจึงมี ความสัมพันธ์อันยาวนาน ระหว่างสมาชิก (ยอดรวมของประชากรของเอธิโอเปีย มีประมาณ 78 ล้านคน) นอกจากนั้น เนื่องจากสวีเดนเป็นองค์กร ที่เข้าไปเผยแพร่ศาสนา เป็นคณะแรกในเอธิโอเปีย ซึ่งรวมถึง EFS ด้วย มันจึงเป็นเรื่องปกติ ที่เงินช่วยเหลือ ที่ให้แก่ต่างประเทศของเรา จึงส่งตรงไปที่เอธิโอเปีย

ในฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึงกลุ่ม Mekane Yesus จะจัดสัมมนาใหญ่ที่แอดดิส อะบาบา ซึ่งโบสถ์สวีเดนร่วมกับ EFS มีแผน ที่จะส่งคณะเผยแพร่ พร้อมกับพระราชาคณะ นำกลุ่มไป แต่ประธานของกลุ่ม Mekane Yesus ได้มีจดหมายสองฉบับ ถึงพระราชาคณะ ในเดือนมกราคม สอบถามขอรายละเอียดความเห็น ของโบสถ์ต่อการแต่งงาน ของชาวรักร่วมเพศ และการ “อำนวยพร” แก่การครองคู่หรือการแต่งงานกัน [ในการสำรวจเร็วๆ นี้ พบว่ามีพระอยู่ 70 คนในโบสถ์สวีเดน ที่ 75% ไม่มีปัญหาเรื่องการแต่งงาน ของคู่รักร่วมเพศ]

จดหมายทั้งสองฉบับจาก Mekane Yesus ไม่ได้รับคำตอบจากโบสถ์สวีเดน ดังนั้น เมื่อเร็วๆ นี้ พวกเขาจึงได้รับ คำบอกเล่า จากกลุ่ม Mekane Yesus ว่าพวกเขาไม่เป็นที่ต้อนรับ ในการประชุมสัมมนา ในฤดูร้อนนี้ (อ้างอิง ref.53) ซึ่งไม่จำเป็นต้องพูดอีกต่อไปว่า นี่คือเรื่องน่าผิดหวังอย่างยิ่ง สำหรับพระ และสาวกชั้นผู้นำ ของโบสถ์สวีเดน ดังนั้น แทนการเดินทาง ไปร่วมงานอันน่าตื่นเต้น ที่เอธิโอเปีย พวกเขาจึงต้องอยู่กับบ้าน ไตร่ตรองถึงเหตุและผลของศาสนาใหม่ของพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่า เหล่าผู้นำของโบสถ์ (ลูเธอรัน) สวีเดนคงคิดว่า พวกเขามีความ “ก้าวหน้า” มากกว่ากลุ่ม Mekane Yesus เนื่องจากพวกเขา มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า พวกเขาเชื่อว่า วันหนึ่งในอนาคต โบสถ์ที่พวกเขามีส่วน ในการก่อตั้ง ในประเทศเอธิโอเปียนี้ ก็จะค่อยๆ มีความ “ก้าวหน้า” จนถึงระดับที่จะยอมรับบาป ของความเป็นรักร่วมเพศได้ เหมือนดังข้อเขียนที่ว่า : “เขาอ้างตัวว่า เป็นคนมีปัญญา เขาจึงกลายเป็น คนโง่เขลาไป และ....” (คำสอน Rom. 1:22.32)

เป็นเช่นดังที่คาดไว้ว่า ศาสนาใหม่ ได้รุกรานประเทศของเรา สิ่งเหล่านี้เป็นวาระที่ กลุ่มสนับสนุน การรักเพศเดียวกัน จัดวางขึ้น ให้เข้าใจคำสอนของพระเยซู ในเรื่องเกี่ยวกับนรก ท่านจะถูกยัดเยียด ให้ได้รับฟังการเทศน์ บนธรรมาสน์ ในหัวข้อนี้ว่า เป็นสิ่งที่พระเยซู ทรงสอนไว้

ก่อนจะจากไปพระเยซู ได้บอกสาวกผู้ติดตามเกี่ยวกับ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่จะปรากฏ (ยอห์น 16:8) (John 16:8) “เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้สึกถึงความผิดบาป และถึงความชอบธรรม และถึงการพิพากษา: ถึงความผิดบาปนั้น คือเพราะเขาไม่เชื่อในเรา; ถึงความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดาของเรา และท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเราอีก; ถึงการพิพากษานั้น คือเพราะผู้ครองโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว”

สิ่งเหล่านั้นคือแผนที่ ที่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์วางไว้ แต่ในบ้านเมืองเรา ในปัจจุบัน ไม่ค่อยมีการเทศน์คำสอนเกี่ยวกับ คำพิพากษาของพระเจ้า ตลอดมาประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์ คำสอนดังกล่าว ได้เคยทำให้ผู้ทำบาป ได้กลับมาหาพระเจ้า และเสียใจในความผิด ที่ได้กระทำลงไป และแทนการสวด ขอให้พระเยซูช่วยล้างบาปเคราะห์ ปัจจุบันกลับเป็นการท่องบ่นคำว่า “สหายในทางธรรม” “มาร่วมกับโบสถ์เรา เพราะนี่คือสิ่งที่มีประโยชน์ สำหรับท่าน และลูกหลานของท่าน ที่จะได้รับรู้หลักศาสนาและหลักจริยธรรม!” ความเป็นจริงเกี่ยวกับนรก เป็นบางสิ่งบางอย่าง ที่ชาวคริสเตียนในประเทศของเรา ไม่ยอมเชื่อถืออีก พวกเขาคิดว่าพระเยซู ต้องพูดเล่นเมื่อพูดเกี่ยวกับนรก หรือเพียงแต่ต้องการทำให้ คนหวาดกลัว เพื่อจะได้เปลี่ยนมาเป็นสาวก และผู้ติดตามพระองค์

การเป็นคนมีชื่อเสียง เป็นที่นิยม และถูกรุมล้อมด้วยบาป ได้กลายเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า เรื่องหน้าที่ที่ได้รับมอบ จากพระคริสต์ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจ เมื่อนิกายเพนทิคอสทอล จะขอให้มีการสำรวจและสนใจในความเห็น ที่ประชาชน ลงคะแนนเสียงความเห็น และสำรวจความนิยมของนิกายพวกเขาในสังคมของเรา ในครั้งที่แล้ว พวกเขาเสียใจว่า ผลแสดงความนิยมได้ตกลงมา นั่นทำให้พวกเขา ยิ่งโยนความผิดว่าเป็นเพราะเรื่องของ “กรณี Ake Green” จากคำพูดของผู้มีอำนาจที่พูดไว้อย่างชัดเจน (Luke 6:26) : วิบัติแก่เจ้าทั้งหลาย เมื่อคนทั้งหลายจะยอว่า เจ้าดี เพราะบรรพบุรุษของเขา ได้กระทำอย่างนั้นแก่ ผู้พยากรณ์เท็จเหมือนกัน และ (Matt. 5:11 และ 12) : “เมื่อเขากล่าวเท็จติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลาย เพราะเรา ท่านก็เป็นสุข” และอีกทั้ง (Luke 6:22 ,23): “ท่านทั้งหลายจะเป็นสุข เมื่อคนทั้งหลายจะเกลียดชังท่าน และจะไล่ท่านออกจากพวกเขา และจะประณามท่าน และจะเหยียดชื่อของท่าน ว่าเป็นคนชั่วช้า เพราะท่านเห็นแก่บุตรมนุษย์”

ระหว่างพระคริสต์ และนิกายเพนทิคอสทอล จะต้องมีผู้แปลเนื้อความนี้ไม่ถูกต้อง เพราะมันไม่สามารถที่จะถูก ทั้งสองแบบได้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัย ว่าเยาวชนของเรา (ไม่ว่าจะถูกล่อหลอก หรือถูกจับให้อยู่เข้า ไปเป็นพวกรักร่วมเพศ) ไม่ได้พบทิศทางที่ถูกต้อง จากสิ่งที่เรียกว่านิกาย ที่เผยแพร่คำสอนของคริสต์ศาสนาเลย “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก; แต่ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ” (Matt.5:13)

สรุปปฏิกิริยาของ กลุ่มผู้นับถือศาสนาคริสต์ ในประเทศสวีเดน

สืบเนื่องจากบทความ ที่กล่าวมาข้างต้น (และจากความเป็นจริงที่พบทั่วไป) ปฎิกิริยาของชาวคริสเตียนในสวีเดน ต่อการรุกรานของการรักเพศเดียวกัน มีความแตกต่างแยกเป็น 3 กลุ่ม คือ :

1. ฝ่ายที่เลิกศรัทธาในศาสนจักร คือ บรรดาโบสถ์สวีเดนที่เป็นทางการ (Sw.: “Svenska Dyrdan”) ซึ่งยอมรับ การรักเพศเดียวกันอย่างแท้จริง บรรดาพระทั้งหลาย เป็นพวกรักร่วมเพศอย่างเปิดเผยและส่วนใหญ่ (มากกว่าสองในสาม) จากผลสำรวจเร็วๆ นี้กล่าวว่า พวกเขาไม่รังเกียจ ที่จะสวดอำนวยพร ในพิธีสมรสของพวกรักร่วมเพศ นอกจากนั้น พระราชาคณะ K.G. Hammar ได้ประกาศว่าบรรดาหลักคำสอนลูเธอรัน ล้วนเป็น “กองขยะ” (Sw. “soph_gen”)

2. นิกายโบสถ์อิสระ (Sw. “Frikyrkan”) การยอมรับในการเป็นรักร่วมเพศ มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก ตัวอย่างเช่น การที่ SMF (นำโดยบาทหลวงKrister Andersson) ได้เปิดประตูต้อนรับบาทหลวง ที่เป็นพวกรักร่วมเพศ (ตราบเท่าที่พวกเขา เป็นที่ยอมรับ ของการชุมนุมในพื้นที่) กลุ่มเคลื่อนไหวเพนทิคอสทอล (Sw. “Pingst FFS”) ยังไม่ได้ยอมรับบาทหลวง ที่เป็นพวกรักร่วมเพศเข้าในกลุ่ม อย่างไรก็ตาม เหล่าผู้นำ (บาทหลวง Sten-Gunnar Hedin) ได้ปฏิเสธ อย่างแข็งขันต่อท่าทีของบาทหลวง Green และพูดซ้ำซากเกี่ยวกับ เรื่องการเทศน์ของเขา หนังสือพิมพ์ “Dagen” ได้แสดงให้เห็นว่ามีโบสถ์ ที่ต้องพึ่งพา ชาวรักร่วมเพศเพิ่มสูงขึ้น หลายนิกายในกลุ่มนี้ ต้องพึ่งพาการบริจาค ประจำจากรัฐบาลของชาวสวีเดน ที่มีเงื่อนไขเข้มงวดว่า จะต้องต้อนรับพวกรักร่วมเพศไว้ในกลุ่มด้วย เนื่องมาจากสถานการณ์เงิน ที่ไม่มั่นคงของโบสถ์บางแห่ง (เช่น “Pingst FFS”) มันจึงเป็นการเพิ่มความยากที่จะ ไม่ทำตามคำเรียกร้องของรัฐบาล

3. โบสถ์ที่เรียกว่า “คำสอนแห่งชีวิต” (Sw. “Livets Ord”) นำโดยบาทหลวง Ulf Ekman ทำงานของกลุ่ม โดยไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล และ Ulf Ekman ได้กล่าวภายหลังจากคำเทศน์ของ Ake Green ในการต่อต้านการรักร่วมเพศ คือ : “Ake Green มีผู้สนับสนุนอยู่ที่นี่ 5,500 คน” และ “ขอให้พระเจ้าอำนวยพรแก่ Ake Green” และทั้งหมดที่ชุมนุม ณ ที่นั้น ได้ยืนขึ้น ปรบมือโดยพร้อมเพรียงกัน เอ็คก์แมนได้กล่าวต่อว่า: “มันเป็นสิ่งน่าละอาย สำหรับผู้นับถือศาสนาคริสต์ในสวีเดน เมื่อไม่มีผู้นำนิกายใด ประกาศตัวว่าจะสนันสนุน Ake Green”

โบสถ์สวีเดน (โบสถ์ที่ไม่ศรัทธาในคำสอน) เคยเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลสวีเดน (Sw. “Statskyrkan”) และได้เป็นอิสระ จากรัฐบาลหลายปีมาแล้ว ด้วยการเปลี่ยนแปลงส่วนนี้ ทำให้บรรดาสินทรัพย์ ทางการเงิน และที่ดินได้กลายเป็นความมั่งคั่ง ในปัจจุบันของพวกเขา ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลว่าพวกเขาสามารถที่จะ “ทำงาน” ได้ยาวนานกว่าบรรดา “โบสถ์อิสระ” ส่วนใหญ่ เมื่อประเทศของเรา ได้ทำการเปลี่ยนแปลงโบสถ์ ให้มาอยู่ภายใต้อำนาจรัฐ และเพื่อการยอมรับการรักร่วมเพศ

ดังนั้นแล้ว สิ่งเหล่านี้ ได้ทิ้งเหยื่อที่เกิดจากวิถีชีวิต ของการเป็นรักร่วมเพศไว้อย่างไร

จำไว้ว่าบรรดาเหยื่อส่วนใหญ่ ได้ถูกล่วงละเมิดทางเพศ และทิ้งบาดแผลไว้แก่เด็กเล็ก เด็กผู้ชายที่ถูกรังแกทางเพศ ประมาณ 7 ครั้ง มีแนวโน้มที่จะคิดว่าตัวเองเป็นเกย์ หรือคนสองเพศมากกว่า คนที่ไม่เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ

ข้าพเจ้าต้องการจะ ปิดฉากเรื่องนี้ด้วยคำกล่าว จากหนังสือของ Kupelian: “ในตลาดแห่งความชั่วร้าย ; พวกหัวรุนแรง คนฉลาด และผู้เชี่ยวชาญจอมปลอม ได้หลอกเรา โดยย้อมแมวเอาสิ่งไม่ดี ที่จะนำไปในทางเลว มาหลอกขายว่าคืออิสระภาพ” Kupelian เขียนไว้ที่หน้า 35 (ภายในวงเล็บคือสิ่งที่ข้าพเจ้า เน้นให้ความสำคัญเอง) :

“การสร้างกิจกรรม ของพวกรักร่วมเพศ ที่เกินเหตุนี้ ต้องการให้เป็นเช่นเดียวกับ กลุ่มเคลื่อนไหวของคนผิวดำและ เรื่องสิทธิมนุษยชนในปี 60 การเกิดเป็นคนอาฟริกัน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยตัวเอง จากความกลัวบาป และผู้เขียนจากความกลัวบาปนั้น – พระเจ้า

แต่เพราะความแตกต่าง ของการเคลื่อนไหว เพื่อ “สิทธิมนุษยชนของชาวเกย์” (ตามที่ใช้เป็นข้ออ้าง) ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย เพื่อให้พวกรักร่วมเพศ สามารถมีโอกาสเท่าเทียม ในเรื่องของความก้าวหน้า หรือสามารถเข้าถึงบริการ เหมือนเช่นที่คนผิวดำ เรียกร้องในยุค 60 ชาวรักร่วมเพศมีชีวิต ที่อิสรเสรีอยู่แล้วและ (นอกเหนือจากการพยายามของแต่ละคน ที่อยากจะมีสัมพันธ์ทางเพศ กับบรรดาเด็กๆ) สามารถที่จะอยู่ร่วมกัน ทำงาน และเล่นได้อย่างปกติ ในทุกๆ ที่ที่ต้องการ อันที่จริงแล้ว พวกรักร่วมเพศ จะมีความสุข กับระดับรายได้ ที่สูงมากกว่าประชาชนคนอเมริกันธรรมดา (และพวกเขามีเวลามากกว่า ในการพักผ่อนหย่อนใจ และมีกิจกรรมส่วนร่วมทางการเมือง ในฐานะประชาชนมากกว่า เนื่องจากไม่ต้องมีความกังวล ในเรื่องเกี่ยวกับการเงิน และเวลาที่จะต้องใช้ เป็นภาระในการเลี้ยงดูเด็กให้โต)

ดังนั้น มันจึงไม่เกี่ยวกับเรื่องของสิทธิ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ การนิยามความจริงใหม่ และทำการตรวจสอบการวิจารณ์ทุกชนิด เพื่อจะให้ผู้ที่ต่อสู้ เพื่อการรักเพศเดียวกันสามารถมี ‘วิถีชีวิต’ ที่สุขสบาย โดยไม่มีการรบกวนจากสภาพความเป็นจริง

จำไว้ว่า พวกเรา – รวมถึงชาวรักเร่วมเพศ –มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี (ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่พระเจ้าได้ซ่อนไว้ ภายในตัวของเราทุกคน) ซึ่งเป็นสาเหตุให้ รู้สึกขัดแย้งภายใน เมื่อเรากำลังทำผิด หากเราถลำเข้าไป สู่ทางที่ผิดโดยไม่รู้ตัว และเริ่มแก้ต่าง ให้กับการกระทำนั้น อย่างบังคับตัวเองไม่ได้แล้ว ในที่สุดเราจะรู้สึกว่า ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เป็นศัตรูของเรา และแม้ว่าในบางขณะ เราจะประสบความสำเร็จ ในการเรียกสติคืนมา แต่หากการปฏิเสธ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีนี้ เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ และถลำลึกเกินกว่าจะ ช่วยแล้วอะไรจะเกิดขึ้น นี่เป็นเหมือนสิ่งที่คุกคามเรา

ดังนั้น เรารู้สึกว่า ถูกบังคับให้ละเลย “เสียงเตือนให้รู้สึกผิดชอบชั่วดี” ซึ่งไม่เพียงเป็นเสียงที่อยู่ในจิตใจเรา แต่อยู่ในคนทุกคน เสียงนี้จะพยายามกระตุ้น ให้เราเกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี จนเกิดการต่อสู้ภายใน ซึ่งเป็นเพราะว่าเรา ไม่อาจทนต่อ ความรู้สึกขัดแย้งที่เกิดขึ้น เราไม่สามารถทนมันได้แน่ๆ จนทำให้เราอยากตะโกนออกมา

สำหรับพวกรักร่วมเพศ แม้ว่าจะมีผู้คอยให้ความช่วยเหลือ เช่น จากอดีตรัฐมนตรีที่เป็นเกย์ หรือ ‘การช่วยซ่อมแซมรักษา’ โดยผู้ให้คำปรึกษา – เพื่อให้ผ่านพ้นอาการเสพติด การรักร่วมเพศ แต่การที่ต้องอยู่อย่าง ไม่ได้รับการยอมรับ ก็เกิดความรู้สึกเหมือนเป็น คนไร้ค่า เป็นที่ดูถูกและรังเกียจ - ในความเป็นจริงแล้ว มันคือความรักที่แท้จริง – สิ่งซึ่งเราแปลกันผิดๆว่า เป็นการรังเกียจและ ‘ความดันทุรัง คลั่งศาสนา’ เป็นเพราะเรา ไม่อยากจะเผชิญหน้า กับความจริงที่เราไม่ต้องการ”