มันเกี่ยวข้องกับอนาคต ของบุตรหลานของท่าน
 

ตีแผ่เรื่องที่ถูกปกปิด เกี่ยวกับทัศนคติ ความคิดเรื่องทางเพศ


ถ้าคุณไม่ใช่ประชาชนชาวสวีเดน ที่ไม่มีถิ่นพำนักอาศัย อยู่ในประเทศสวีเดน กดที่นี่ สำหรับเบื้องหลัง และความเป็นมาเกี่ยวกับเว็บไซต์นี้

มันเป็นความปรารถนาของผมอย่างยิ่ง ที่จะกล่าวว่าข้อความต่าง ๆ เหล่านี้ เพื่อให้ความกระจ่าง ที่ไม่มุ่งหวัง ทำให้ใครเกิดความเสียหาย หรือเพื่อทำลายใคร จุดประสงค์ของข้อความทั้งหมดนี้ ก็เพื่อช่วยให้ลูกหลานของเรา ได้ห่างไกลจากกลลวง ของการเบี่ยงเบนทางเพศ ซึ่งต้องทำให้ผมลุกขึ้นมา แฉความจริงที่ผมได้ประสบมา

_________________________________________________________________________________________

คำเตือน ! (WARNING !)

เว็บไซต์นี้ไม่เหมาะ สำหรับเด็กและเยาวชน ข้อความบางส่วน ที่เราได้นำเสนอมา ณ ที่นี้ ได้นำจากข้อความของเว็บไซต์ หลักขององค์กรการรักร่วมเพศ ในประเทศสวีเดน RSFL ซึ่งได้รับเงินทุนช่วยเหลือ อย่างมากมาย เป็นเงินของผู้เสียภาษีทั่วไป เป็นข้อความที่เลวทราม และหาแก่นสารมิได้ โดยมีเหตุผลต่าง ๆ ดังนี้

1.  นี่คือตัวอย่าง ที่ชาวสวีเดน ต้องเผชิญอยู่ทุกวัน ด้วยเงินทุน ที่ได้มาจากเงินของ ผู้เสียภาษีของพวกเรา นี่คือตัวอย่างที่ดี ที่จะเตือนเราว่า อะไรจะเกิดขึ้น ในประเทศใดประเทศหนึ่ง เมื่อการเล่นสวาท ระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย sodomy เป็นสิ่งที่น่ายกย่องและสรรเสริญ

2.  จุดประสงค์เพื่อที่จะ แสดงให้ผู้ปกครองที่มีบุตรหลาน ที่เสี่ยงต่อการเบี่ยงเบนทางเพศ ได้ตระหนักถึงความกระตือรือร้น ที่จะเอาใจใส่เพื่อที่จะ ช่วยเหลือบุตรหลานของท่าน

3.  สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับ การสาธารณสุขและอนามัย นี่คือคำตอบว่าโรคร้ายต่าง ๆ ที่ติดต่อกันได้ง่ายจาก การร่วมเพศกำลังรอวันขยายตัวขึ้น อย่างที่เราได้รับทราบ และเข้าใจเกี่ยวกับ การร่วมเพศทางทวารหนัก เป็นจำนวน 2 ใน 3 ของผู้ชาย ที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศได้กระทำกัน ซึ่งเป็นผลให้เกิดผลอย่างมากมาย ทางด้านสุขภาพและสาธารณสุขโดยปริยาย

การที่ RFSL ได้ส่งเสริม และเผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์ และเผยแพร่ข้อความใบปลิว เกี่ยวกับการดำรงชีวิตประจำวันของคนรักร่วมเพศ ที่มีการดำรงความเป็นอยู่ อย่างหรูหราในสังคม นั่นเป็นดำรงชีวิตประจำวัน ที่ชั่วช้าและทำให้เสื่อมทรามลง อย่างไม่ละอายใจ สังคมไม่สมควรที่จะ ให้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร ในการเรียนในโรงเรียนของเรา คุณจะพบข้อความ ในเว็บไซต์ของ RFSL เต็มไปด้วยเรื่องสกปรก ถ้อยคำที่ลามกที่น่าเอือมระอาน่าขยะแขยง สำหรับเด็กและเยาวชน ที่อ่อนแอและไม่มั่นคง ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการจำแนกเพศของตัวเอง ทุกครั้งที่กลับจากโรงเรียน ก็จะเข้าไปดูเว็บไซต์ ที่มีข้อความที่ไม่มีอะไรเลย นอกจากเรื่องลามก

แต่ถ้าคุณต้องการที่จะ หลีกเลี่ยงข้อความที่เกี่ยวกับ RSFL คุณจะพบการเตือนให้ระวัง เกี่ยวกับเว็บไซต์นี้อย่างกว้างขวางมากมาย

_________________________________________________________________________________________

ข่าวที่ผ่านพ้นมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ : (Recent News:)

มีข้อความหนึ่ง ในการจัดงาน Pride Festival หรืองานเทศกาลความภาคภูมิใจ ของเกย์ในกรุงสต๊อกโฮม เมืองหลวงของประเทศสวีเดน เมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา งานนี้จัดขึ้นเพื่อให้ชาวเกย์ในสวีเดน มีความภาคภูมิ ใจในตนเอง มีการสนทนากัน โดยคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วย ผู้นำจากพรรคการเมืองเกือบทั้งหมด ในประเทศของเรา หัวข้อหนึ่งที่ได้รับสนใจ ในการสนทนาคือข้อความจาก RFSL ที่พูดถึงควรหรือไม่ควรที่จะ ให้เด็กผู้ชายใส่กระโปรง แบบเด็กผู้หญิงในโรงเรียน เด็กก่อนวัยเรียนหรือโรงเรียนประถมศึกษา นี่ไม่ใช่ความบังเอิญที่หัวข้อของการสนทนา เป็นการจงใจของเหล่า RSFL ที่จงใจให้หัวหน้าพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่จะ ต้องถกเถียงกัน ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แต่คนสวีเดนส่วนใหญ่ ไม่ได้ให้ความสนใจกับหัวข้อ ของการสนทนานี้ พวกผู้ชายรักร่วมเพศรู้อยู่แก่ใจว่า พฤติกรรมของการเบี่ยงเบนทางเพศ ปกติเริ่มต้นขึ้นเมื่อยังเยาว์วัย เมื่อตอนที่ตนยังสับสน เกี่ยวกับเพศของตนเอง และการที่ RSFL ได้นำเสนอโครงการ ให้เด็กผู้ชายนุ่งกระโปรง ในโรงเรียนประถม ก็เพื่อให้เด็กผู้ชายที่ยังเยาว์วัย ที่สับสนเกี่ยวกับเพศของตนเอง ได้มีโอกาสได้กลายมาเป็น คนที่รักร่วมเพศ อย่างเต็มรูปแบบอย่างมาก พวกเขาเหล่านั้นเพื่อที่จะ ขยายบทบาทแนะนำชักชวน เพื่อให้ขยายวงกว้างยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้มาซึ่งอิทธิพลทางการเงิน และอำนาจ คุณสามารถที่จะหาข้อความ อีกมากมาย เกี่ยวกับการสับสนทางเพศ (gender confusion) ในหัวข้อความเป็นมา ของชายรักร่วมเพศส่วนใหญ่ ในหัวข้อเรื่อง ที่ถูกปกปิด 2 ดังต่อไปนี้

แนะนำความรู้เบื้องต้น (Introduction)

ผมชื่อ นายรอน ลินเดน (Ron Linden) ผมเป็นชาวสวีเดนมาจากเมือง Skane เป็นจังหวัดทางตอนใต้สุด ของประเทศสวีเดน ผมได้สำเร็จการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย Chalmers University ในเมือง Gothenburg ประเทศสวีเดน จากนั้นได้หาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ การค้นคว้าในรัฐแคลิฟอเนียร์ ซึ่งผมได้รับปริญญาเอก ในปี ค.ศ. 1982 จาก University of California, Davis แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ การค้นคว้าของผม ได้แตกต่างไปอย่างมาก จากในวงความรู้ ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์มาเป็น วงความรู้ทางด้านความประพฤติของมนุษย์ ผมได้ค้นคว้าเจาะจง เกี่ยวกับรากฐาน และที่มาของการรักร่วมเพศ และสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ ต่อมา ทำให้ผมได้ประหลาดใจอย่างมาก นั่นเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม และขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง กับคนทั่วไป เชื่อกันมานานที่ว่าเป็นสิ่งที่ “กระแสทางการเมือง ที่ถูกต้องในเวลานี้” ในสมัยของเรา มันได้เปลี่ยนแปลงผม จากคนที่เคยเฉยเมย เกี่ยวกับหัวข้อการรักร่วมเพศ มาเป็นคนที่กลัวการรักร่วมเพศ Homophobe (ดูจากข้อความด้านล่าง) ผมได้กลัวเป็นอย่างยิ่ง ถึงผลร้ายที่จะตามมา ในเยาวชนที่เป็นลูกหลานของเรา จากกิจกรรมต่าง ๆ ที่กลุ่มนักวิ่งเต้น รณรงค์ชายรักร่วมเพศ (Homolobby) พยายามที่จะสนับสนุน ส่งเสริมในประเทศของเรา ผมจึงคิดว่าสมควรที่จะ แบ่งปันความรู้ที่ผม ได้ศึกษามาให้คนอื่นได้รู้ โดยเฉพาะผู้ปกครอง พ่อแม่หรือปู่ย่าตายายทั้งหลาย สิ่งที่ผมได้ค้นพบ ผมมีความรู้สึกว่าผมจำต้อง นำออกมา ตีแผ่ให้รู้ถึงเรื่องที่ถูกปกปิด 3 อย่าง ที่คนทั่วไปเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าผมเก็บข้อมูลที่สำคัญเหล่านี้ ไว้เพียงคนเดียว มันจะทำให้ผมรู้สึกผิดทางด้านศีลธรรม และจะทำให้ผู้ปกครองทั้งหลาย ไม่ได้รับข้อมูล และความรู้ที่สำคัญที่จะปกป้องรักษา และป้องกันลูกหลานของเขา ให้กลายเป็นผู้ชายรักร่วมเพศ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นคุณพ่อ สามารถที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนา ความเป็นลูกผู้ชาย ให้แก่บุตรที่เป็นเด็กชาย เพื่อจะป้องกันการรักร่วมเพศในบุตร ตอนที่เริ่มเข้าวัยสืบพันธุ์ สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ มีมูลฐานทั้งหมดจากการค้นคว้า และการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ ที่ไม่ใช่ข้อมูลทางศีลธรรม ผมได้เรียบเรียงข้อความ และความเป็นมา และการพัฒนาการของการรักร่วมเพศ ในผู้ชายอย่างเฉพาะเจาะจงลงไป การพัฒนาการไปสู่เลสเบี้ยนของผู้หญิง จะไม่ได้รับการพิจารณาที่เท่าเทียมกัน ในการมาพูดคุยกันครั้งนี้ ฉะนั้น การนำเสนอของผมนี้ก็เพื่อที่จะ ให้ผู้ปกครอง พ่อแม่ ปู่ย่าตายายทั้งหลาย ได้ตระหนักถึงภัยอันใกล้ดังนี้ ข้อมูลเหล่านี้ไม่เหมาะ สำหรับบุคคลที่ได้กลายเป็นคนรักร่วมเพศแล้ว

และขอย้ำให้ชัด ๆ อีกครั้งว่า ข้อมูลเหล่านี้ไม่เหมาะสำหรับคุณ ถ้าคุณเป็นผู้ชายรักร่วมเพศที่เบี่ยงเบนทางเพศไปแล้ว

ข้อความท้ายนี้ : (Footnote)

การกลัวการรักร่วมเพศมี 2 ประเภท ประเภที่ 1 คือความกลัว จากผลกระทบจากการที่รักร่วมเพศ ได้รับการยกย่องส่งเสริม ในการสื่อสารมวลชนที่จะ มีผลกระทบถึงบุตรหลานของเรา ความกลัวประเภทนี้เป็นความกลัวสังคมรักร่วมเพศ ที่หลายคนในประเทศของเราได้รับรู้แล้ว

ประเภทที่ 2 คือความกลัว ในผู้ชายที่รักร่วมเพศ ที่กำลังขยายวงกว้างยิ่งขึ้น โดยผันตัวเองเป็นผู้ทรงอิทธิพล (homomafia) และผู้ทำการแนะนำและชักชวน นักวิ่งเต้นรณรงค์ชายรักร่วมเพศ (Homolobby) โดยการใช้วิธีการข่มขู่ ภัยที่จะมาถึงตัว มีหลายรูปแบบ เช่น บางคนกลัวเพราะมาเฟีย ใช้กำลังประทุษร้าย ต่อร่างกายท่านและครอบครัวของท่าน คนบางคนกลัวเพราะวิธีการกระทำ ที่ไม่ใช้ความรุนแรง เช่น พระในโบถส์กลัวว่าจะ ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ถ้าพระสร้างกฎเกณฑ์บังคับ ไม่ยอมให้ชายรักร่วมเพศ เป็นสมาชิกในหมู่พระสงฆ์ หรือนักธุรกิจคนค้าขายกลัวว่า จะสูญเสียลูกค้า เพราะกลัวการขมขู่ ของพวกมาเฟีย หรืออาจจะเป็นคนที่มีอาชีพทั่วไป ที่กลัวถูกตราหน้าว่า ต่อต้านคนรักร่วมเพศ โดยพวกชายรักร่วมเพศ ที่สร้างแรงกดดันให้สังคม หรือโดยใช้สื่อเป็นเครื่องมือ

การกลัวหมู่คนรักร่วมเพศ ทั้ง 2 ประเภทนี้ เพราะกลัวว่าจะถูกรังควาน ถ้าเราออกความคิดเห็น ที่ต่อต้านพวกเขาในที่สาธารณะ (ผู้คนที่ไม่กลัวชายรักร่วมเพศ ประเภทแรกคือ พวกชอบนิยมคนรักร่วมเพศ และก็ไม่ได้จัด อยู่ในความกลัวรักร่วมเพศ ประเภทที่ 2 ด้วย เพราะเขาเหล่านั้นไม่เคยถูกข่มขู่ หรือรังควานจากพวกมาเฟียนี้) ผู้ที่เกลียดกลัวการรักร่วมเพศ ทั้ง 2 ประเภทนี้ ยิ่งมีน้อยเข้าไปอีก จะเป็นผู้คนที่กังวลเกี่ยวกับวาระซ่อนเร้น ที่จะให้ผลกระทบ ต่อบุตรหลานของพวกเรา และก็กังวลเกี่ยวกับ ความปลอดภัยของตนเอง หรือทางอาชีพและธุรกิจ ถ้าเรากล้าที่จะแสดงออกมา ถึงความเห็นที่ตรงกันข้าม จึงทำให้เป็นช่วงที่น่าสงสัยชอบกล ระหว่างคนเกลียดกลัวพวกรักร่วมเพศ หรือคนที่ชอบพวกรักร่วมเพศทั้ง 2 ประเภท

ไม่ใช่สำหรับเยาวชน (Not for Children)

สิ่งที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นข้อความที่ไม่เหมาะสม สำหรับเด็กและเยาวชนที่จะอ่าน คุณจะพบหลักการและเรียนรู้ เพื่อที่ประยุกต์ใช้ กับบุตรหลานของท่าน แต่ข่าวสารในตัวมันเองนั้น ทำเพื่อให้ท่านผู้ที่เป็นพ่อแม่ได้รับรู้ การนำเสนอของผมนั้น ได้แบ่งแยกออกเป็นสัดส่วนดังนี้ :

1.    ทัศนคติความคิดเรื่องทางเพศ ประเภทไหนที่ท่านปรารถนา ให้บุตรหลานของท่าน อยากที่จะเป็น (ชายรักร่วมเพศในผู้ชายด้วยกัน หรือชายที่ถูกดึงดูดจูงใจโดยเพศตรงกันข้าม) (Homo or hetero) โดยปราศจาก ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเกี่ยวกับ วิถีการดำเนินชีวิตของชายรักร่วมเพศ และการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกัน คุณสามารถตัดสินใจได้ว่า คุณมีขอบเขตอะไร ที่จะส่งเสริมพัฒนาการ ไปในทางหนึ่งทางใด ในการกำหนดทิศทางเรื่องทางเพศ

2.    ท่านจะเตรียมการอย่างไร ในระหว่างที่บุตรหลานของท่าน อยู่ในวัยเจริญเติบโต และเตรียมพร้อมสำหรับการกำหนดทิศทางเรื่องทางเพศ เมื่อบุตรหลานเข้าสู่วัยรุ่น ?

3.    บุตรหลานของท่านเกิดมา เป็นคนรักร่วมเพศหรือ หรือเกิดมาเป็นชายที่ถูกดึงดูด จูงใจจากเพศตรงข้าม? หรืออยู่ในพันธุกรรมหรือ?

_________________________________________________________________________________________

สารบัญ (TABLE OF CONTENTS)

การแนะนำและเรื่องที่ถูกปกปิด ที่ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ซึ่งถูกแบ่งแยกออกเป็นข้อย่อย ๆ ดังต่อไปนี้ (ให้คลิกไปที่ส่วนต่าง ๆ หรือ ข้อย่อยต่าง ๆ จะนำท่านไปถึงหัวข้อโดยตรง) :

แนะนำให้รู้จักความรู้เบื้องต้น

หลักฐานอ้างอิง

ใบปลิวแจกฟรี

การท่องเที่ยวในประเทศสวีเดน

เรื่องที่ถูกปกปิดเรื่องที่ 1: วิถีการดำเนินชีวิต ของผู้ที่รักเพศตรงข้าม และผู้ที่รักร่วมเพศเป็นสิ่งที่ดีงาม เท่าเทียมกัน และเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา (Mythe Number 1: The heterosexual and homosexual lifestyles are equally wholesome and desirable)

1. อายุขัยโดยเฉลี่ยของผู้คน (Average Life expectancy)

2. การใช้ยาเสพติด ที่ผิดกฎหมาย (Use of illegal drugs)

3. ความถี่ของการฆ่าตัวตาย (Frequency of suicide)

4. ความถี่ของการนิยม ร่วมเพศกับเด็กผู้ชาย (Frequency of pedophilia)

5. โรคติดต่อจากการร่วมเพศ (Sexually transmitted diseases)

6. การนอกใจ มีชู้ของคู่สมรส (Infidelity with partner)

7. การได้รับการยอมรับ ทางด้านสังคมและศาสนา (Social and religious acceptance)

8. แนวคิดด้านทางเพศที่ผิดปกติ (Abnormal Focus on Sex)

9. ปัญหาเกี่ยวกับช่องทวาร (Rectal Problems)

เรื่องที่ถูกปกปิดเรื่องที่ 2: ที่ว่าคุณไม่สามารถ มีอิทธิพลต่อบุตรหลานของท่าน ที่จะเลือกการกำหนดทิศทาง เรื่องทางเพศของตนเอง ในขณะที่เข้าวัยเจริญพันธ์ (Mythe Number 2: You cannot influence your child as to what sexual orientation he will choose when puberty occurs)

1. ผลลัพธ์อันน่าเชื่อถือ จากการค้นคว้าทดลอง มาอย่างยาวนาน ที่ถูกพวกที่เป็นรักร่วมเพศ ระงับ และปิดบังไว้ (Convincing result from extensive research is suppressed by the homolobby)

2. การรายงานเกี่ยวกับ การค้นคว้าของ Bieber et al (REF.4) (อ้างอิง REF.4) (Research report by Bieber et al (REF. 4)

3. บทผลสรุปที่ได้รับ (Conclusions to be drawn)

4. การเดินอวดตัวอย่างน่าขายหน้า (The Parade of Shame)

5. หน้าที่บทบาทของผู้ที่เป็นบิดา (More about the Father’s role)

6. หน้าที่บทบาทของบิดามารดา ที่มีร่วมกัน (The Common role of both parents)

7. การถูกทำร้ายโดยชายรักร่วมเพศ ในสหรัฐอเมริกา ต่อผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับความคิด และวาระทางสังคม (Attacks by the homolobby in USA against people who disagree with their agenda)

8. การถูกทำร้ายโดยชายรักร่วมเพศ ในประเทศสวีเดน ต่อผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับความคิด และวาระทางสังคม (Attacks by the homolobby in Sweden against people who disagree with their agenda)

เรื่องโกหกเรื่องที่ 3: คือเรื่องที่ว่าการกำหนดทิศทางทางเพศ เป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น หรือถูกกำหนดโดยทางสายเลือดและทางพันธุกรรม (Myth Number 3: Sexual orientation is something inherited. It’s determined by the gene)

1. การค้นคว้าวิจัยที่โอนเอียง และมีอคติซึ่งได้รับผลมาจาก การวิ่งเต้นรณรงค์ล๊อบบี้ ของพวกผู้ชายรักร่วมเพศ (The bias/spin of research results by the homolobby)

2. การค้นคว้าวิจัยของ Kallman

3. การค้นคว้าวิจัยของ Bailey-Pillard (1991)

4. การค้นคว้าวิจัยของ Bailey-Dunne-Martin (2000)

5. การค้นคว้าจอมปลอมของ Hamer, Hu, Magnusson, Hu and Pattatucci

6. การค้นคว้าวิจัยของ Bearman-Bruckner (2001)

7. การค้นคว้าวิจัยของ Simon LeVay (1991)

8. สมมติฐานเกี่ยวกับฮอร์โมนของสตรีก่อนคลอด (Prenatal Hormonal Hypotheses)

9. แนวความคิดในการค้นคว้าศึกษาวิจัย ของผู้ชายรักร่วมเพศเมื่อเร็ว ๆ นี้ (Trend I Recent Homosexual “Research”

_________________________________________________________________________________________

ข้อแนะนำ (Introduction)

หลักฐานอ้างอิง: (References:)

ในการนำเสนอนี้ ผมจะอ้างอิงถึงหลักฐานอ้างอิง 3 จำพวก

จำพวกที่ 1 เพื่อที่จะรวบรวมผลของการนำเสนอ ในภาพรวมให้อยู่ในขอบที่จำกัด ผมได้ใส่ข้อมูลความรู้ พื้นฐานเพื่อที่จะเชื่อมไปที่ sidebar menu ทางด้านซ้ายมือ ทุกครั้งที่คุณเห็นหมายเลข ที่มีการขีดเส้นใต้เช่น (like (อ้างอิง No.1) คุณจะพบข้อมหูลเพิ่มเติมใหม่ ในหัวข้อนี้ โดยการคลิกไปทางลิงค์ หรือคลิกไปทาง Sidebar ทางฝั่งซ้ายมือโดยคลิกไปที่หมายเลขเดียวกันที่นั่น

จำพวกที่ 2 ผมได้ใช้หลักฐานจากหนังสือหลายเล่ม เป็นฐานข้อมูลเพื่อนำเสนอในครั้งนี้ หลักฐานอ้างอิงจากหนังสือเหล่านี้จะปรากฏคำว่า (อ้างอิง REF.) โดยตามหลังด้วยหมายเลข และเลขที่บนหน้ากระดาษที่คุณสามารถค้นหาข้อมูล หนังสือเหล่านี้ส่วนใหญ่ จะมีหลักฐานอ้างอิงของตัวเองอยู่แล้ว

จำพวกที่ 3 แหล่งข้อมูลบางเล่มที่กระผมคิดว่า สำคัญเป็นพิเศษจะถูกอ้างอิงด้วยคำว่า (อ้างอิง ref.) (ตัวพิมพ์เล็ก) ตามด้วยหมายเลข ผมได้ใช้การอ้างอิงจำพวกเดียวกันนี้ เพื่ออ้างอิงในเว็บไซต์ในอินเตอร์เน็ต หลักฐานอ้างอิงโดยเฉพาะจากเว็บไซต์ของ RFSL จะถูกเพิกถอนอยู่เสมอทุกครั้ง ที่เขาโชว์ภาพลามกน่าขนลุก ดังนั้นผมไม่สามาราถจะ รู้ล่วงหน้าได้ว่า ลิงค์นั้นยังอยู่ ถูกเพิกถอนไปแล้ว ภาพที่ผมได้รวบรวมไว้ถูกใส่ไว้ในเว็บ เมื่อเดือนมีนาคม 2007 ที่เพิ่งผ่านมานี้เอง หลักฐานอ้างอิงจำพวกนี้ (จำพวกที่ 3) จะมีการเชื่อมต่อลิงค์โดยตรง โดยคุณคลิกไปที่ ref. ตามด้วยหมายเลข การลำดับของหลักฐานข้อมูลทั้ง 3 จำพวก (“No”, “REF”, “ref”) จะสามารถถูกค้นพบได้ โดยคลิกไปที่ลิงค์ที่อยู่ข้างใต้ของ Side Bar ฝั่งซ้ายมือ

Back to Table of Contents กลับไปสู่หน้าหลัก

แผ่นใบปลิว (Free Literature)

ถ้าคุณเป็นพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย ที่บุตรหลานมีอายุต่ำกว่าอายุ16 ปี คุณจะสามารถรับแผ่นใบปลิวของเราโ ดยมิต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ข้อความนี้สามารถเข้าไปดูได้ โดยคลิกไปที่ลิงค์ “แผ่นใบปลิว” ที่อยู่ข้างใต้ของ Sidebar Menu หรือที่ “ติดต่อ” ที่อยู่ข้างบนของ Menu Bar แผ่นใบปลิวทั้งหมดจะเป็นภาษาอังกฤษ ข้อมูลที่คุณไม่สามารถหาได้ โดยที่คุณไม่เสียค่าใช้จ่ายสามารถ ซื้อหาได้ที่เว็บไซต์ www.amazon.com

ติดต่อ (Contact)

คุณสามารถติดต่อกับผมได้ตามที่อยู่นี้:

Ron Linden

Kungsgatan 12

211 49 Malmo

Sweden

Back to Table of Contents กลับไปสู่หน้าหลัก

การท่องเที่ยวไปทั่วประเทศสวีเดน

พวกเรามีแผนกำหนดการ ที่จะเยี่ยมเยือนหลาย ๆ เมืองในประเทศสวีเดน และเราจะแจกใบปลิวทุกที่ ที่เราจะไปเยี่ยมเยือน ดูตารางการท่องเที่ยวของพวกเรา ที่อยู่ภายใต้ลิงค์ “ท่องเที่ยวไปทั่วประเทศสวีเดน” ใน Menu Bar ข้างบน เราจะลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ทันทีที่เรามาถึงเมืองที่คุณอยู่ แต่บางครั้งหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น จะไม่กล้ารับโฆษณาให้พวกเรา แต่ทั้งหมดนี้เราพูดถึงข้อความต่าง ๆ ที่ RFSL และสาวกของเขาไม่ต้องการให้ผู้ปกครองทั่วไปได้เข้าถึง

ข้อความที่ถูกปรับปรุงให้ทันสมัย : การท่องเที่ยวไปทั่วสวีเดนสิ้นสุดลงในปี 2005 และจะไม่ดำเนินต่อไป เพราะถูกข่มขู่อย่างต่อเนื่อง จากผู้ทรงอิทธิพลของพวกรักร่วมเพศ ในประเทศของเรา สำหรับท่านที่ต้องการข้อความ เกี่ยวกับการท่องเที่ยวของเรา ให้ดูที่ลิงค์ที่อย่าข้างบน Menu Bar ที่มีคำว่า “homolobby หรือ homomafia” ชายรักร่วมเพศที่ทรงอิทธิพล และผู้ทำการชักชวนแนะนำและล๊อบบี้

Back to Table of Contents กลับไปสู่หน้าหลัก

_________________________________________________________________________________________

เรามาเริ่มเรื่องที่ถูกปกปิดเรื่องที่ 1.

เรื่องที่ถูกปกปิดเรื่องที่ 1: วิถีการดำเนินชีวิต ของผู้ที่รักเพศตรงข้าม และผู้ที่รักร่วมเพศเป็นสิ่งที่ดีงาม เท่าเทียมกัน และเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา (Myth Number 1: The heterosexual and homosexual lifestyles are equally desirable)

ทำไมถึงจำเป็นที่เราต้องกลับมา มองดูการแพร่หลาย ของพฤติกรรมของพวกชายรักร่วมเพศ?

ในหนังสือ “After the Ball ที่ว่าประเทศอเมริกาจะ พิชิตความกลัวต่อพวกชายรักร่วมเพศอย่างไร ในปี ค.ศ. 1990s” (New York: Pengnin, 1989) ซึ่งได้กลายเป็นคัมภีร์เกี่ยวกับ วาระของพวกชายรักร่วมเพศ ในขณะนั้นผู้ที่มีอัจฉริยะ ทางด้านการตลาด Kirk และ Madsen เขียนไว้ว่า (หน้า 146):

“เมื่อคุณเป็นคนที่แตกต่างจากคนอื่น และเกลียดชังคุณ คุณต้องทำอย่างนี้ ขั้นแรกทำตัวให้กลมกลืน กับพวกเขา ทำให้คล้ายคลึงให้เขาให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ แล้วต่อมาสิ่งที่แตกต่างเล็ก ๆ น้อยของคุณ สุดท้ายแล้ว จะได้รับการยอมรับ แล้วคุณจะเริ่มค่อย ๆ ทอดแทรก สิ่งที่เป็นลักษณะพิเศษของคุณ เข้าไปทีละน้อย คุณต้องใช้ วิธีให้ค้อนตอกลิ่ม ในส่วนที่บางที่สุดเข้าไปก่อน เมื่อประตูเริ่มเปิด แล้วคุณก็ เริ่มสอดแทรกตัวคุณเข้าไปทั้งตัว

มีต่อ (หน้า 155):

“เราเจตนา ที่ปรับเปลี่ยนทัศนคติ ความคิด ความรู้สึก จิตใจของคนอเมริกันทั่วไป โดยใช้การวางแผนที่ดี ทางด้านจิตวิทยา ในรูปแบบของ การโฆษณาชวนเชื่อ ทั่วประเทศ โดยผ่านสื่อสารมวลชน เราเจตนาที่จะโค่นล้ม โครงสร้างของความมีอคติ เกลียดชังไปในทางที่เราต้องการ โดยใช้วิธีเดียวกับที่เขาทำให้ ประเทศอเมริกา เกลียดพวกเรา แล้วแปลงจากความเกลียดชัง ให้เป็นความรัก และเคารพที่อบอุ่น ไม่ว่าเขาทั้งหลายจะชอบหรือเห็นด้วยหรือไม่”

แล้วคุณ Kirk และ Madsen อธิบายต่อไปว่า (หน้า 155-156):

“ในการปรับเปลี่ยนทัศนคติ เราล้อเลียนขั้นตอนปฏิบัติ ตามธรรมชาติของการเรียนรู้ โดยเลียนเบบกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ใช้วิธีดันทุรัง แล้วรู้สึกดีเกี่ยวกับความเป็นคน แล้วใช้มันไปติดแทนป้ายคำว่า เกย์ แล้วให้เขาค่อย ๆ คลายความเกลียดชัง และท้ายที่สุดความเกลียดชังรักร่วมเพศก็จะหมดไป “ ใช้วิธีการกลบเกลื่อน ”คนที่เป็นเป้าหมายจะโชว์ออก ถึงการดันทุรังของเขาที่ เกลียดชังชายรักร่วมเพศ แล้วเขาก็จะถูกปฏิเสธจากพวกเราเองที่เขามีอคติกับพวกเกย์ “ในการเปลี่ยนทัศนคติ” คนที่เป็นเป้าหมายของเราจะออกมา แสดงต่อเพื่อนของเขาเองว่า การคบหาสมาคมกับพวกเกย์นั้น จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ อีกครั้งหนึ่งมันเป็นการยากลำบากที่คนธรรมดาอย่างเรา โดยธรรมชาติ หรือโดยการถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก จะมีความรู้สึกสม่ำเสมอเป็นนิจสินและ เห็นถึงสิ่งที่พวกพ้องว่าคิดอย่าไร รู้สึกอย่างไร เราไม่ต้องการโต้ตอบต่อการโฆษณา ที่เป็นแฟชั่นที่น่ารังเกียจนี้”

และด้วยความเคารพกับความจริงใจในโฆษณา คุณ KIRK และคุณ MADSEN ประกาศอย่างโอหังว่า (หน้า 154):

“การโฆษณาผ่านสื่อจะจริงหรือเท็จก็ไม่เป็นปัญหา เพราะว่าเราใช้โฆษณาผ่านสื่อ เพื่อเป็นประโยชน์ เพื่อที่จะป้องกันการล้อเลียน ที่เต็มไปด้วยความเท็จและเลวทรามกว่า”

ทว่าในประเทศสวีเดน เวลานี้พวกชายรักร่วมเพศ เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด และแล้วความเท็จที่ถูกโฆษณาผ่านสื่อ ก็ได้ถูกชึมซาบเข้าไปในสมองของพวกเรา ชาวสวีเดนที่เชื่อคนง่าย และที่ประเทศนี้เอง RFSL ก็ได้ใช้วิธีการ สอดแทรกคนที่เขาเรียกว่า มีคุณลักษณะพิเศษ คนแล้วคนเล่าเข้าสู่สังคม คุณจะต้องใช้การอธิบาย และการกระตุ้นตัวเอง เพื่อที่จะปกป้องบุตรหลานของคุณ ให้รู้เท่าทัน ถึงวิธีการและการดำรงชีวิต ของพวกชายรักร่วมเพศ คุณต้องรู้ตระหนักว่า “การโฆษณาผ่านสื่อเป็นความเท็จ” เมื่อนั้นคุณจะหาทางป้องกัน การพัฒนาการ ที่ให้บุตรหลานของคุณ กลายเป็นคนรักร่วมเพศ

เรามาเปรียบเทียบวิถีทางการดำเนินชีวิต ระหว่างคนที่ชอบเพศตรงข้าม (heterosexual) กับพวกชายที่รักร่วมเพศเดียวกัน (homosexual) แต่ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่าเว็บไซต์ RFSL และผู้สนับสนุนเป็นความเท็จทั้งสิ้น ที่ว่าด้วยบุคคลทั้ง 2 กลุ่มนี้ เป็นคนที่เท่าเทียมกันทางคุณค่า เราเห็นด้วยว่าบุคคลทุกคน มีคุณค่าเท่าเทียมกัน แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราพูดถึงอะไรคือสิ่งที่ปรารถนา เหมาะสมกับพฤติกรรมทางเพศ สำหรับบุคคลและสำหรับสังคมส่วนรวม จะได้คำตอบและความคิดเห็นที่หลากหลาย จะมีคนออกมาถกเถียงว่า การดำรงชีวิตแบบชายรักร่วมเพศเป็นที่ไม่มีข้อเสีย และเป็นอิสระในการเพลิดเพลิน กับการรร่วมเพศประเภทไหนก็ได้ และนี่คือว่าเป็นสิ่งที่พึงปรารถนากว่า แต่จะมีคนอีกจำนวนมาก ที่เชื่อว่าการดำรงชีวิตแบบรักคนต่างเพศ เป็นสิ่งที่สมควรอย่างยิ่ง ในบุคคลและในสังคมส่วนรวม

เรามาเปรียบเทียบระหว่าง การดำรงชีวิตของบุคคล 2 ประเภทกัน แล้วคุณซึ่งเป็นผู้ปกครองสามารถที่จะ ตัดสินใจด้วยตัวเองว่า อะไรเป็นสิ่งพึงปรารถนา สำหรับบุตรหลานของคุณ แล้วคุณจะได้ทำหน้าที่ได้ถูกต้อง ตอนนี้เรามาพูดกันถึง สิ่งที่พึงปรารถนาในการมีเพศสัมพันธ์ ผู้ปกครองอย่างเราควรที่จะ แยกแยะว่าเราจะหาทางที่ดีที่สุด ให้กับตัวท่านเองและ ให้กับบุตรหลานอย่างไร แต่ไม่ให้มีผลกระทบต่อสังคมโดยรวม (ตัวอย่างเช่น งบประมาณค่าใช้จ่าย ในทางสาธารณสุข ในการป้องกันโรคที่ติดต่อทางการร่วมเพศ การใช้จ่ายเงิน สำหรับการรักษาเยียวยาผู้ติดยาเสพติด การค้นคว้าวิจัยทางการแพทย์สาขาอื่น ๆ ถูกระงับเพราะขาดงบประมาณจากรัฐบาล เพราะทางรัฐบาล เทงบประมาณมากไป ในการรักษาและค้นคว้า เกี่ยวกับโรคเอดส์

การเปรียบเทียบการดำรชีวิตของบุคคล 2 ประเภท ได้เปิดเผยขึ้นดังต่อไปนี้:

 

สิ่งที่นำมาเปรียบเทียบ (Ares of comparison)

ชายรักร่วมเพศ (Homosexual)

ชายรักเพศตรงข้าม (Heterosexual)

1.

อัตราการคาดหมายอายุเฉลี่ยของคน

55 ปี (ผู้ชาย)

75 ปี (ผู้ชาย)

2.

การใช้ยาสเพติดที่ผิดกฏหมาย

อย่างมาก

อย่างน้อย

3.

อัตราการฆ่าตัวตาย

อย่างมาก

17.6 ต่อ/แสนคน/ปี

4.

อัตราการร่วมเพศกับเด็กและเยาวชน

>3 ถึง > 10

1

5.

โรคติดต่อทางการร่วมเพศ

อย่างมาก

อย่างน้อย

6.

การนอกใจภรรยาหรือคู่รัก

อย่างมาก

อย่างน้อย

7.

การยอมรับ ทางสังคม และทางศาสนา

อย่างน้อย

อย่างมาก

8.

ความคิดเห็น ที่ผิดปกติ เกี่ยวกับเรื่องเพศศึกษา

อย่างมาก

อย่างน้อย

9.

ปัญหาเกี่ยวกับช่องทวารหนัก

อย่างมาก

อย่างน้อย

หัวข้อหลายข้อมีการเกี่ยวดองกัน อย่างเช่น การใช้ยาเสพติด การฆ่าตัวตาย และโรคที่ติดต่อกันทางการร่วมเพศ ที่กล่าวมานั้นกระทบต่ออัตรา การคาดหมายอายุโดยเฉลี่ยของคน ในบางสังคมและบางศาสนา จะให้การยอมรับผู้ชายรักร่วมเพศที่ต่ำมาก อัตราการฆ่าตัวตายของผู้ชายที่รักร่วมเพศ มีมากขึ้นไปอีก แต่ถ้าบุคคลใดได้กลายมาเป็นผู้รักร่วมเพศแล้ว เขาก็จะมีความเสี่ยงสูง ที่จะฆ่าตัวตายด้วย แต่เราต้องจำไว้ว่า เรากำลังพูดถึงสถิติโดยเฉลี่ยเท่านั้น แต่อีกนัยหนึ่ง ความเป็นไปได้ในการติดโรค ที่ได้มาจากการร่วมเพศ แล้วผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม จะติดโรคทางกามมากกว่าเช่น โรคหนองในและซิฟิลลิส ส่วนชายรักร่วมเพศแทบจะ ไม่มีใครติดโรคนี้

ปัญหาขั้นพื้นฐานของผู้ชายที่รักร่วมเพศ จะมีการร่วมเพศทางทวาร แบบหลากหลายนี้ เป็นหลักการปฏิบัติของ การดำรงชีวิตของพวกเขา อย่างที่คุณจะเห็นได้ จากคำแนะนำการมี (Anal Manual)เพศสัมพันธ์ทางทวาร” (อ้างอิง ref.13) ที่แสดงอยู่ใน RFSL เว็บไซต์ 2 ใน 3 ของจำนวนผู้ชายรักร่วมเพศ จะมีเพศสัมพันธ์กันทางทวาร จากการกระทำเช่นนี้ตามมาด้วย ปัญหาทางด้านสุขภาพ ทางโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้รู้ว่าโรคระบาด จะเกิดขึ้นในหมู่มวลมนุษย์อีก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เรามาดูกันให้ใกล้เข้าไปอีก กับสิ่งที่นำมาเปรียบเทียงทั้ง 9 ข้อนี้

Back to Table of Contents กลับไปสู่หน้าหลัก

1.  อัตราการคาดหมายดายุโดยเฉลี่ยของคน (Average life expectancy)

อายุ 75 ปี เป็นอายุโดยเฉลี่ยของผู้ชาย ที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม นี่เป็นสถิติของผู้ชายทั่วไป ในสหรัฐอเมริกา ผมไม่สามารถที่จะค้นหาอายุโดยเฉลี่ย ของคนที่รักร่วมเพศ อาจจะเป็นเพราะ ปัญหาการจำแนก ประวัติส่วนตัว ว่าเป็นชายรักร่วมเพศ เพราะคิดว่าเป็นมลทิน ที่เคยยุ่งเกี่ยวกับ การดำรงชีวิตเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ผมได้ค้นพบจากแหล่งข่าว 2 แห่ง ว่าผ้ชายรักร่วมเพศมีอายุโดยเฉลี่ย ที่สั้นกว่าถึง 20 ปีศ; (อ้างอิง ref.1) (ผลการรายงานทางด้านจิตวิทยา 2005; 96: 693-697) (อ้างอิง ref.2) (1997; International Journal of Epidemiology 1997; Vol. 26, 657-61) ที่ว่าด้วยการรายงาน เกี่ยวกับโรคระบาดนานาชาติ ทั้ง 2 อย่างนี้จะถูกอ้างอิงไว้ใน (อ้างอิง ref.3) ที่ว่าด้วยการค้นคว้าที่ยืนยันว่า อัตราการคาดหมายอายุโดยเฉลี่ย ของชายรักร่วมเพศว่าสั้นกว่าคนปกติ 20 ปี

Back to Table of Contents กลับไปสู่หน้าหลัก

2.  การใช้ยาเสพติดที่ผิดกฏหมาย (Use of Illegal Drugs)

เราเพียงเข้าไปในชม ในเว็บไซต์ของ RFSL แล้ว เราก็จะรู้ว่าการใช้ยาเสพติด ที่ผิดกฏหมายนั้น เป็นสิ่งที่ธรรมดา และซ้ำซาก เป็นปกติในหมู่ชายรักร่วมเพศ ถ้าจะมีองค์กรใด หรือสถาบันใด ที่ดูเหมือนเป็นตัวแทน อย่างเป็นทางการ ของหมู่คนรักร่วมเพศแล้วละก็ นั้นก็คือ RFSL นั่นแหละ RFSL เป็นสถาบันที่ได้รับเงินอุดหนุน เงินสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอ โดยเงินนี้เป็นเงินของผู้เสียภาษีทั้งสิ้น ที่ใช้ในการสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเช่น เปิดเว็บไซต์ RFSL นี้ และโครงการหาสมาชิกใหม่เพิ่ม เรามาดูกันที่เว็บไซต์นี้กัน (อ้างอิง ref.4) ที่นี่คุณสามารถค้นคว้าหาด้วยตนเอง บัญชีรายชื่อของยาเสพติด พร้อมทั้งคำบรรยาย และจะสอนถึงการใช้สารเสพติดแต่ละชนิด ว่าใช้อย่างไร เช่นยา Ecstasy ซึ่งเป็นยาเสพติดที่เด่นชัด ในหมู่แวดวงของชายรักร่วมเพศ คำแนะนำที่ให้ไว้ในเว็บไซต์นี้ แนะนำให้ผู้ที่เสพ Ecstasy “ดื่มน้ำบ่อยๆ แต่ไม่ควรเกินครึ่งลิตรในทุกหนึ่งชั่วโมง” แล้วก็มีการแนะนำการเสพยาบ้า Amphetamin, Cocaine, Crystal meth, GHB, LSD, และสารเสพติดอื่น ๆ ผมได้ค้นหาเว็บไซต์อื่น ๆ ในประเทศของเรา ไม่มีเว็บไซต์ใดเลยที่ให้คำแนะนำเพื่อนสมาชิกของเขา ให้ใช้ยาเสพติดที่ผิดกฏหมาย ดังนั้นผมจะตั้งคำถามไว้ ณ ที่นี้ว่า “ทำไมการใช้ยาเสพติดที่ผิดกฏหมาย มีส่วนเกี่ยวข้องกัน อย่างกลมเกลียว กับคนในหมู่ชายรักร่วมเพศ และการดำรงชีวิต ของคนเหล่านั้น”

คำตอบต่าง ๆ อยู่ในเว็บไซต์ RFSL ผมไม่อยากแสดงภาพลามกเหล่านี้ให้ดู เพราะมันน่าขยะแขยง สำหรับเรา ที่เป็นปกติ แต่คุณจะสามารถรู้ซึ้งว่า ทำไมการใช้ยาเสพติดที่ผิดกฏหมายนั้น แพร่หลายในหมู่ชายรักร่วมเพศ นี่คือข้อความของ RFSL (อ้างอิง ref.5) ซี่งเขียนไว้ว่า :

“การเลียทวาร (Licking the ass – Rimming)

สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคย การที่ใช้ลิ้นเลียไปที่ทวารเป็นที่สิ่งที่ลึกลับ เจ็บปวดและน่าขยะแขยง แต่อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่คุ้นเคยและมีประสบการณ์แล้ว มันเป็นสวรรค์บนดิน เขาจะใช้การนั่งค่อมลงบนใบหน้า แล้วแหกแก้มก้นออกเพื่อที่จะ ให้คนเลียทวารได้เลียในทุกที่ ที่ซ่อนเร้น นี่คือท่าที่นิยมกัน”

หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่า “สำหรับผู้ที่เพิ่งเข้ามาเป็นสาวกใหม่ จะรู้สึกขยะแขยง แต่สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์มาแล้ว มันเหมือนสวรรค์บนดิน” และเพราะว่ามันน่าขยะแขยง สำหรับสาวกใหม่ ที่เพิ่งเข้าสู่วงการนี้เอง ทำให้ยาเสพติดเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อช่วยให้การกระทำนี้ง่ายขึ้น และก็มีกิจกรรมทางเพศอีกหลายอย่าง ที่คล้ายคลึงกัน ที่คนรักร่วมเพศกระทำกัน ที่ใช้คำศัพท์ว่า “Fisting” มันเป็นที่รับรู้กันว่าชายรักร่วมเพศ ที่มีประสบการณ์มาก และอายุมากมักจะชอบเด็กผู้ชาย หรือผู้ชายที่มีอายุน้อยกว่า และชักชวนให้เข้าไปสู่ความลึกลับของการมีเพศสัมพันธ์อย่างหลายรูปแบบ เหมือนกับตอนที่ผู้พิพากษาศาลสูงสุดของเรา ชื่อว่า Leif Thorsson ใช้เงินจ้างชายหนุ่มอายุ 20 ปี ในการหลับนอนรักร่วมเพศในเมืองสต๊อกโฮม (อ้างอิง No.1) ถ้าคุณเข้าไปชมเว็บไซต์ของ RFSL คุณจะตระหนักถึงการพัฒนา เจริญก้าวหน้าของการรักร่วมเพศ การกระทำและกิจกรรม ที่เลวร้ายเหล่านี้เป็นของในอดีต และจะไม่อยู่ร่วมกับเราในวันนี้

Back to Table of Contents กลับไปสู่หน้าหลัก

3.  อัตราการฆ่าตัวตาย (Frequency of suicide)

เราทราบกันดีว่า อัตราการฆ่าตัวตายคือ 17.6 คนต่อ 100,000 คน ของประชากรในแต่ละปี (สถิติ 4-5 เท่าในผู้ชายซึ่งมากกว่าผู้หญิง) ไม่มีรายงานสถิติที่น่าเชื่อถือได้เกี่ยวกับ อัตราการฆ่าตัวตายในหมู่ชายรักร่วมเพศ ผู้ที่ฆ่าตัวตายเป็นคนหนุ่ม ที่ต่อสู้กับความรู้สึกภายใน เมื่อการรักร่วมเพศเพิ่งเริ่มต้น เพราะว่าเขาเหล่านั้นไม่มีโอกาส ที่ได้รับความช่วยเหลือ ที่จะพัฒนาการให้เป็นลูกผู้ชายเต็มตัว ดังนั้นมันเป็นการยากที่จะ รู้ถึงสาเหตุอันแท้จริงของการฆ่าตัวตาย ของคนหนุ่มสาวดังกล่าว อย่างไรก็ดี เราได้ค้นคว้าเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย ที่ล้มเหลวและบุคคลที่รอดพ้น จากการฆ่าตัวตายทำให้เราแน่ใจ (อ้างอิง ref.6; “ความสัมพันธ์ระหว่างคนที่ เสี่ยงภัยต่อการฆ่าตัวตาย กับการกำหนดทิศทางเรื่องทางเพศ”) (The Relationship Between Suicide Risk and Sexual Orientation) จากการค้นคว้าจะพบว่า ชายที่รักร่วมเพศนั้น มีอัตราการฆ่าตัวตายที่สูงมาก ต้นเหตุที่ควรใส่ใจ ในความรู้สึกชอกช้ำทางอารมณ์ ที่ชายรักร่วมเพศเกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายมีดังนี้ :

1). ก่อนที่เด็กผู้ชายจะเป็นรักร่วมเพศ “pre-homosexual” เด็กผู้ชายที่เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่ม บ่อยครั้งที่จะถูกเพื่อนฝูงปฏิเสธ และระหว่างการเจริญเติบโตนี้เอง เขาจะรู้สึกชอกช้ำทางอารมณ์ เป็นคนที่แตกต่างจากเด็กผู้ชายอื่น ๆ สิ่งนี้เองซึ่งทำให้เกิดอารมณ์ ความรู้สึกที่อ่อนไหวในเด็กผู้ชายคนนั้น เขาควรที่จะได้รับการยืนยัน รับรองอย่างเร่งด่วน จากเพื่อนชายคนอื่น ว่าเขาเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง แต่ในทางกลับกัน เขาได้รับแต่ข้อมูลในเว็บไซต์ของ RFSL ซึ่งโฆษณาชวนเชื่อและดึงเขาถลำลึกลงไปอีก ให้กลายเป็นพวกชายรักร่วมเพศ และมีวิถีการดำเนินชีวิตเช่นนั้น

2). หลังจากกลายเป็นชายรักร่วมเพศแล้ว เขาจะได้รับความรังเกียจบ่อย ๆ ครั้ง และสุดท้ายก็จะถูกปฏิเสธจากคนหลาย ๆ คน เขาอาจจะถูกปฏิเสธจากคนใกล้ชิด เช่น คนในครอบครัวของเขาเอง หรือแม้กระทั่งจากเพื่อน หรือสมาชิกร่วมโบสถ์ของเขาเอง ที่ไม่รู้ว่าจะช่วยกันได้อย่างไร แม้แต่ได้รับการยอมรับเต็มรูปแบบ ชายรักร่วมเพศส่วนมากจะไม่มีความสุข เพราะว่าความรู้สีกลึก ๆ ข้างใน บอกว่าเขาผิดปกติ และไม่เป็นธรรมชาติ

3). ตอนที่เขาได้พัฒนาเป็นชายรักร่วมเพศ และดำรงชีวิตแบบนี้เต็มรูปแบบ เขาจะค้นพบว่าสิ่งนั้นไม่ได้พาไปสู่ สิ่งที่เขาพึงพอใจอย่างแท้จริง เพราะว่ามันขัดต่อธรรมชาติมนุษย์ ฉะนั้นมันจะไม่มีทาง ที่จะได้ประสพกับความพึงพอใจ ในทางความรู้สึกและอารมณ์ อะไรที่เขาสมหวังในอดีต จะใช้ไม่ได้ในปัจจุบัน และเขาก็จะพัฒนาก้าวหน้าสู่กิจกรรมทางเพศ ที่เลวร้ายมากยิ่งขึ้น แล้วก็จะพบกับความไม่พึงพอใจมากยิ่งขึ้น

การอ้างเหตุผลที่ผิดหลักการ ที่นำเสนอโดยวาระของหมู่รักร่วมเพศ ว่าการได้รับการยอมรับแบบเปิดกว้าง จะทำให้เกิดการฆ่าตัวตายที่ลดน้อยลง มันอาจะเป็นเพราะอัตราหรือความถี่ ในการฆ่าตัวตายค่อนข้างจะลดลง แต่นั่นนำไปสู่การพัฒนาที่ทำให้ เด็กผู้ชายกลายมา เป็นพวกรักร่วมเพศมากยิ่งขึ้น ผู้ที่เป็นผู้ปกครองจะลงความเห็นว่ามันเป็นสิ่งปกติ และเป็นไปตามธรรมชาติ แล้วก็ไม่พยายามที่จะทำอะไรเลย ที่จะป้องกั้นไม่ให้มันเกิดขึ้น และถึงแม้ว่าอัตราหรือความถี่ ในการฆ่าตัวตายค่อนข้างจะลดลง แต่ความจริงแล้วคนเป็นจำนวนมาก จะถูกชักนำเข้ามาอยู่ใน วิถีชีวิตของคนรักร่วมเพศ และนั่นหมายถึงจำนวนทั้งหมด การฆ่าตัวตายจะเพิ่มขึ้นมา

คำอธิบายในท้องเรื่องนี้ ผมต้องการที่จะพูดถึงอีกนิดเกี่ยวกับ การวางตัวที่ถูกต้องต่อพวกคนรักร่วมเพศ โดยให้ความรักและการเอาใจใส่ ของพวกคนที่ชอบเพศตรงกันข้ามอย่างพวกเรา ผมได้รับอีเมล์จากเพื่อนร่วมชาติ ของผมจำนวนมากมาย มีสุภาพบุรุษท่านหนึ่งเป็นคนคริสเตียนเขียนไว้ว่า “นี่เป็นปัญหาจากทัศนคติของคนคริสเตียนอย่างผมว่า คนที่ด้อยโอกาส เคราะห์ร้าย และได้รับความทรมาน จากการอบรมเมื่อยังเป็นเด็ก เช่น เด็กที่ไม่มีพ่อ จะเป็นคนที่เสี่ยงภัยที่สุด ในการพัฒนากการไปสู่เป็นคนรักร่วมเพศ คำตอบที่ว่าเราจะแสดงออกถึงความรัก ความเอาใจใส่แบบคนคริสเตียน ให้ไปสู่คนพวกรักร่วมเพศนั้นเป็นสิ่งที่ทำยากมาก”

นี่เป็นสิ่งที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ผู้ที่เขียนอีเมล์มาหาผมเขาคิดอย่างไรในใจเขา เมื่อใดก็ตามที่เด็กหนุ่มหรือสาวเริ่มโอนเอียงทางนิสัย และเริ่มออกอาการรักร่วมเพศ (pre-homosexual) แล้วเรารู้ว่านั่นมันมีรากฐานมาจาก การที่เขาขาดความอบอุ่น จากการอบรมเมื่อยังเป็นเด็ก ควรแล้วหรือที่เราจะปล่อยเขาไป ให้ยอมรับวิถีชีวิตแบบคนรักร่วมเพศ ผมว่าเราควรที่จะอ้าแขนโอบกอดเขา ไว้ในอ้อมอกของเราต่างหาก สังเกตุได้ว่ามี 2 หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนในครั้งนี้ คือ : a) ท่าทีการวางตัวของ พวกเรา (Our attitudes) และ b) ความยุติธรรมทั้งหมด (The fairness of it all)

a)  ท่าทีการวางตัวของพวกเรา (Our attitudes)

คำตอบในทัศนคติของผม เกี่ยวข้องกับที่ว่าตนเชื่อหรือไม่เชื่อ ว่าการรักร่วมเพศเป็นสิ่งที่สืบมาจาก สายเลือดหรือจากพันธุกรรม เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถทำอะไรได้เลย จำนวนคนมากมายมหาศาลในสังคมโลกตะวันตก ต้องตกเป็นเหยื่อของการได้รับข่าวสารแบบผิด ซึ่งถูกส่งเสริมอย่างเป็นระบบ อย่างมีประสิทธิภาพ จากพวกล๊อบบี้ของคนรักร่วมเพศ (homosexual lobby) ที่ว่าพวกเขาได้แสดงความรัก ความรู้สีกที่ดีและเป็นห่วง โดยให้การสนับสนุน แล้วช่วยอำนวยความสะดวก ให้เป็นคนรักร่วมเพศ แต่มีผู้คนในสังคมของพวกเรา ที่มีความคิดเห็นที่แตกต่าง ที่ไม่ยอมรับว่าการรักร่วมเพศ เป็นสิ่งที่สืบทอดกันมา จากสายเลือดจากรุ่นสู่รุ่น แล้วเราช่วยอะไรไม่ได้เลย ตราบใดที่ท่านรู้ว่า เราสามารถป้องกันได้ตั้งแต่แรก หรือจะใช้วิธี “ซ่อมแซม” เมื่อรู้ว่าเด็กกำลังพัฒนาไปสู่การเป็นคนรักร่วมเพศ การวางตัวหรือการกระทำของคุณจะแตกต่างออกไปมาก นั่นมันไม่ใช้คำถามว่า เราแค่แสดงความสงสาร คนที่เป็นเหยื่อของการรักร่วมเพศ แต่เป็นความเมตตาอย่างแท้จริง ที่จะต้องป้องกันไม่ให้เด็กชายและเด็กหญิง พัฒนาการเป็นคนรักร่วมเพศ แต่ถ้าเด็กถูกพัฒนาไปสู่ การเป็นคนรักร่วมเพศแล้วละก็ เราต้องช่วยให้เขาเหล่านั้น หนีจากหลุมพรางและกับดักของวิถีชีวิตนั้น

ความคิดนี้ได้ถูกถ่ายทอดในหนังสือ ที่อ่านแล้วซาบซึ้งเป็นเรื่องราวของ “Randy” ในหนังสือเขียนโดย Chuck Colson เรื่อง “The Good Life” ชีวิตที่ดี ได้รับอนุญาตจาก Prison Fellowship ในบทความนี้ที่มีหัวข้อว่า “ศีลธรรมและฏกระเบียบของธรรมชาติ” (Morality and The Natural Order) ได้ถูกแปลเป็นภาษาสวีเดนและ ถ้าคุณเขียนมาขอเราก็จะส่งให้ฟรี ให้ดูที่ Side Bar ข้าง ๆ ภายใต้ “ใบปลิวฟรี” (Free Literature) สำหรับวิธีการที่จะส่งหนังสือให้ฟรี ถ้าคุณเข้าใจภาษาอังกฤษ ผมขอแนะนะอย่างหนักแน่น ให้คุณซื้อหนังสือ “The Good Life” ที่เขียนโดย Chuck Colson ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นประธาน Prison Fellowship

ดังนั้นสิ่งที่กล่าวมาแล้วนั้น คุณเชื่อหรือไม่เชื่อว่า การรักร่วมเพศเป็นสิ่งที่ สามารถป้องกันได้ล่วงหน้า และถ้าเด็กได้ถูกพัฒนาไป เป็นคนรักร่วมเพศแล้ว เราก็สามารถจะ “ซ่อมแซม” ได้ ผมได้เขียนเรื่อง ที่ถูกปกปิดเรื่องที่ 2 และเรื่องที่ถูกปกปิดเรื่องที่ 3 (Myth 2 and Myth 3) ไว้ข้างล่างนี้ เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจเพิ่มขึ้น ว่า เราสามารถป้องกันมันได้อย่างไร และผมจะบอกให้คุณรู้อีกว่า มันสำคัญอย่างไร ที่คนรักร่วมเพศ พยายามล๊อบบี้ ไม่ให้คุณได้รับข่าวสารที่ถูกต้อง

b)    ความยุติธรรมทั้งหมด (The Fairness of it all)
มันเป็นความจริงที่ว่า มันไม่ยุติธรรมที่ว่าเด็กชายบางคน มีการอบรมสั่งสอน ที่ประเสริฐอย่างยิ่ง ที่มีคุณพ่อที่เป็นต้นแบบ ที่จำเป็นมาก ในการพัฒนาการไปสู่ การเป็นลูกผู้ชายของเด็ก ในขณะที่เด็กบางคนน่าเศร้า เพราะไม่มีคนเป็นต้นแบบให้ เด็กบางคนโชคร้ายเข้าไปอีก เพราะถูกละเมิดทางเพศ ซึ่งฝังรอยแผลไว้ตลอดชีวิต เหตุการณ์น่าเศร้านี้สมควรที่จะ เป็นเครื่องดลบันดาล ให้ผู้ใหญ่ที่มีจิตใจเมตตา โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่เป็นสุภาพบุรุษควรที่ รับเด็กที่โชคร้ายเหล่านี้ เข้ามา “อยู่ภายใต้การปกป้อง” และช่วยเหลือเด็ก ในเรื่องการให้การสนับสนุนทางด้านจิตใจ และอารมณ์ที่เด็ก ๆ ต้องการจากผู้ใหญ่ ที่เป็นผู้ชายอย่างมาก แต่ก่อนที่คุณจะลงมือทำ คุณต้องเข้าใจก่อนว่า คุณเองสามารถทำให้ มันแตกต่างและดีขึ้นได้ คุณสามารถที่จะป้องกันการพัฒนาการ ของการรักร่วมเพศในเด็ก ได้อย่างแท้จริง ถ้าเราไม่เอาใจใส่ และไม่พยายามป้องกัน โดยแกล้งทำเฉย แล้วปล่อยให้มันเลยตามเลย แล้วหลอกตัวเองว่าเด็กบางคน มีสายเลือดที่จะสืบทอด ให้เป็นคนรักร่วมเพศนั้น เป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างมาก ในประเทศของเราวันนี้ เราต้องเปลี่ยนสถานการณ์ให้ได้ เพื่อที่จะหยุดยั้งขัดขวางข่าวสารที่เป็นเท็จ ที่ถูกเผยแพร่โดยกลุ่มของ RFSL เขาต้องการให้คนยอมรับเขา แล้วก็หาสมาชิกใหม่ ๆ อยู่ทุก ๆ วัน โดยเฉพาะกับเด็กและเยาวชนของเรา ที่ขาดความอบอุ่นและอ่อนแอ พวกเขารู้อยู่แก่ใจว่า สำหรับเด็กหนุ่มแต่ละคน ที่เขาหามาให้เข้ามาเป็นพวกแล้ว เราจะได้รับสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกมากมาย จากเพื่อน ๆ ของเด็กคนนั้น จำนวนคนมากมายหมายถึงบารมี และอำนาจทางการเมือง

Back to Table of Contents กลับไปสู่หน้าหลัก

4.  อัตราความถี่ของการละเมิดทางเพศเด็กผู้ชาย (Frequency of pedophilla)

คนส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกขึ้นมาเองในใจว่า อัตราความถี่ของการละเมิดทางเพศต่อเด็กผู้ชาย ในหมู่พวกคนรักร่วมเพศนั้น มีมากกว่าคนในหมู่คนที่รักเพศตรงข้าม สถิติรวมทั้งหมดของการละเมิดทางเพศต่อเด็กและเยาวชนนั้น มีมากในหมู่คนที่รักเพศตรงกันข้าม แต่ผู้ที่ถูกกระทำนั้นเป็นเด็กผู้หญิง แต่อัตราความถี่ในการละเมิดทางเพศ โดยชายรักร่วมเพศนั้นมีสูงกว่า โดยสังเกตุจากปัจจัยหลักอย่างน้อย 3 ข้อ หรืออาจจะป็นถึง 10 ข้อหรือมากกว่านั้น เพราะว่าการกระทำละเมิดทางเพศ ต่อเด็กและเยาวชน เป็นสิ่งที่ผิดกฏหมาย การสืบสวน การหาสาเหตุและการเอาผู้ที่ กระทำความผิด มาลงโทษก็จะกระทำได้ยากมาก และเราก็ไม่รู้แน่ชัดว่าผู้กระทำความผิด เป็นชายรักร่วมเพศ หรือชายที่รักเพศตรงข้าม ผู้กระทำความผิด ที่เป็นชายรักร่วมเพศส่วนมากมักจะ ปกปิดการเบี่ยงเบนทางเพศของตนเอง แต่เราควรเพ่งเล็ง การละเมิดทางเพศต่อเด็กผู้ชาย อย่างใกล้ชิด แล้วให้เหตุผลตามความเป็นจริง การละเมิดทางเพศต่อเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่ จะกระทำโดยผู้ชาย ผู้หญิงจะไม่ถูกจัดว่าเป็น ผู้กระทำต่อเด็ก ในความผิดที่เหมือนกันนี้ เมื่อใดก็ตามที่ผู้หญิง เป็นคนกระทำล่วงละเมิดทางเพศ ต่อเด็กและเยาวชน สื่อมวลชนก็จะให้ความสนใจ ไปในด้านยั่วให้น้ำลายไหล ตลกขบขันมากกว่าเป็นคดีข่มขืนที่น่ารังเกียจ

เมื่อใดก็ตามที่เด็กผู้ชาย ถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยชายด้วยกัน การกระทำดังกล่าวคือ การกระทำของการรักร่วมเพศ ไม่ว่าคนกระทำผิดนั้นจะถูกเปิดเผยตัว ว่าเป็นชายรักร่วมเพศหรือไม่ ให้คุณลองคิดดูว่าพระแคทอลิกในโบสถ์ทุก ๆ คน ที่กระทำชำเราเด็กผู้ชายมักจะ มีนิสัยหรือความประพฤติ ที่เบี่ยงเบนเป็นชายรักร่วมเพศ แต่ตัวพระเองก็ไม่เคยยอมรับ ว่าตัวเองเป็นชายรักร่วมเพศ ก็เหมือนกับการกระทำชำเราเด็กผู้หญิง โดยผู้ชายที่ชอบเพศตรงข้าม ก็เป็นคดีทางอาญาเหมือนกัน

ดังนั้นเรามาเปรียบเทียบสัดส่วน การล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง แล้วเราจะเข้าใจมากขึ้น ส่วนใหญ่การล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กผู้ชาย โดยชายนั้นมักจะถูกปกปิดและไม่เป็นข่าว เมื่อเปรียบเทียบกับการละเมิดทางเพศเด็กหญิงโดยผู้ชาย แต่ควรสังเกตุอีกว่าการล่วงละเมิดทางเพศ โดยผู้ที่ทำได้ทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายที่เราเรียกว่า bisexual สถิติได้บอกไว้ว่า การกระทำชำเราต่อเด็กผู้ชาย มีตัวเลขที่ไม่น้อย เมื่อเทียบกับประชากรโดยรวม การละเมิดทางเพศ ของผู้ที่ชอบเพศตรงข้าม เป็น 25 ถึง 50 เท่า มากกว่าคนที่ชอบรักร่วมเพศ แต่เราต้องรู้ว่า นี่เป็นจำนวนครั้ง ที่กระทำผิด แต่ถ้าเปรียบเทียบอัตราสัดส่วน ของประชากรทั่วไปแล้ว มันเป็นสิ่งที่น่ากลัว

แม้กระทั่งหนังสือพิมพ์ที่เรารู้กันว่า เป็นหนังสือพิมพ์เสรีนิยม ที่ไม่โอนเอนทางการเมืองอย่าง Los Angeles Time ได้ยอมรับว่าเขาได้ทำการสำรวจ ความคิดเห็นของผู้ใหญ่ชาวอเมริกัน จำนวน 2,628 คน ทั่วประเทศ ในวันที่ 25-26 สิงหาคม ค.ศ. 1985 พบว่า 27% ของสตรี และ 16% เพศชาย ชาวอเมริกันอ้างว่าถูกละเมิดทางเพศในช่วงที่ยังเป็นเด็ก หรืออีกนัยหนึ่งพบว่า เพศหญิงที่ถูกละเมิดทางเพศ เป็นเพียงแค่ 1.7 เท่า มากกว่าเด็กผู้ชาย (=27/16) ถ้า 25/1.7 = 14.7 และ 50/1.7 = 29.4 มันเปิดเผยตัวเลขของชายที่รักร่วมเพศ ที่ละเมิดทางเพศต่อเด็กผู้ชาย เป็นจำนวน 14.7 และ 29.4 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ชายที่ชอบเพศตรงข้าม ทำกับเด็กผู้หญิง จะพบการวิเคราะห์ ที่อยู่บนสมมุติฐานที่ว่า ผู้ที่ล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กนั้นเป็นผู้กระทำเป็นผู้ชาย อย่างไรก็ดีหนังสือพิมพ์ Los Angeles Time ได้วิจัยแล้วพบว่า 7% ที่เป็นเด็กผู้หญิงถูกกระทำโดยสตรีเพศเอง และอีก 7% ของเด็กผู้ชายที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ก็ถูกกระทำโดยสตรีเพศเช่นกัน ดังนั้น ผู้ชายที่กระทำความผิด ต่อการล่วงละเมิดทางเพศ ต่อเด็กและเยาวชน จึงเป็น 93% ที่ขัดแข้งกับสมมุติฐานก่อนหน้านี้ ที่ว่าเป็น 100% จากข้อมูลที่ได้รับการ “ปรับปรุง” ก็พบว่าในจำนวน 4 ใน 10 รายที่ถูกกระทำชำเรานั้น ผู้กระทำเป็นพวกชายรักร่วมเพศ ดังนั้นถ้าเอา 40% มาหารกับ 2-4% ของประชากรผู้ชายรักร่วมเพศ มันก็จะกลายเป็นระหว่างตัวเลข 10 (=40/4) ถึง 20 (=40/2) เท่าที่มีโอกาสจะเป็นไปได้ว่า ผู้ชายรักร่วมเพศคนหนึ่ง ๆ จะมีโอกาสกระทำชำเราเด็ก มากกว่าชายที่รักเพศตรงกันข้าม คนหนึ่ง ๆ นี้เองเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนตัวเลขที่ยังไม่ได้ “ปรับปรุง” ที่กล่าวมาเบื้องตนแล้ว (14.7 ถึง 29.4 เท่าที่มีโอกาสจะเป็นไปได้) (เรื่องที่ถูกปกปิดเรื่องที่ Myth1-1) (clicking here (ถ้าคุณคลิกที่นี่) คณจะเข้าไปถึง แหล่งความรู้ของหัวข้อนี้

ข้อควรสังเกตุ สถิติตัวเลขในการค้นคว้าที่ผ่านมา เป็นสถิติตัวเลข ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐาน ข้อมูลเดียวกัน ก่อนการประทุ ขยายจำนวนอย่างมากมาย ของผู้ชายรักร่วมเพศ เนื่องจากทางสื่อสารมวลชน ได้ออกข่าวครึกโครม ทำให้เป็นที่นิยมกันทั่วไป ในวิถีการดำเนินชีวิตเช่นนี้ ทุกวันนี้จำนวนของผู้ชายรักร่วมเพศ ได้เกินเลยไปมากเป็นระดับประวัติศาสตร์ถึง 2%-4% ของจำนวนประชากร ผลลัพธ์ก็จะถูกลดลงในอัตรา 2 ถึง 10-20 เท่าของชายรักร่วมเพศ ไปอยู่ที่ 5-10 เท่าที่สูงกว่าอัตราที่เป็นไปได้ ของการละเมิดทางเพศต่อเด็ก ในหมู่ชายรักร่วมเพศ แต่การคำนวณเช่นนี้นั้น เป็นการคำนวณที่มนุษย์ทำขึ้นเอง เพราะว่าถ้าจำนวนเปอร์เซ็นต์ ของชายรักร่วมเพศทั้งหลายเพิ่มขึ้น จำนวนทั้งหมดของการ ก่อคดีอาญากับเด็กและเยาชน ก็ต้องเพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้นสถิติที่เป็นไปได้นั้นจะต้องอยู่ที่ 10-20 เท่า ที่สูงกว่าในการกระทำชำเราต่อเด็ก โดยชายรักร่วมเพศ เมื่อเทียบกับชายที่รักเพศตรงข้าม

มันเป็นการชี้ชัดจากตัวเลข และสถิติว่า ชายรักร่วมเพศส่วนใหญ่ ไม่ได้กระทำชำเราเด็กผู้ชาย ดังนั้นการที่เป็นส่วนหนึ่งของคนพวกนี้ ที่ชอบกระทำชำเราเด็กนั้น เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ว่า ไม่เป็นที่น่าพอใจ ของชายรักร่วมเพศ ที่ไม่ได้กระทำชำเราเด็ก นี่ก็คล้ายกับเหตุการณ์ “สมาคมรักผู้ชายและเด็กชายในอเมริกาเหนือ” (North America Man-Boy Love Association” (NAMBLA) ที่ทำให้ชายรักร่วมเพศ ที่ไม่ได้กระทำชำเราเด็กเป็นจำนวนมาก ได้อับอายขายหน้าคน แต่อย่างไรก็ดี การนิยมร่วมเพศกับเด็กและเยาวชน ก็ได้เพิ่มขึ้น และก็เป็นสิ่งที่ยอมรับกัน ทางสังคมเพิ่มขึ้นด้วย ในสังคมทื่เสื่อมทรามลงของเรา ดังนั้นอีกไม่นาน NAMBLA ก็จะไม่ต้องอับอายขายหน้าอีกแล้ว เรามาดูบางตัวอย่างกันก่อน แล้วผมจะนำเสนอบทวิเคราะห์ สถิติของผมที่ได้มาจากข้อมูล ที่น่สนใจ ที่หลากหลายกว้างขวาง

4.1  ในข้อความของเว็บไซต์ RFSL พวกเขาได้ยกย่องสรรเสริญ ผู้ชายที่มีอายุมาก ที่สามารถร่วมกิจกรรม ทางเพศต่อเด็กและเยาวชน นี่คือสิ่งที่พวกเขาได้เขียนไว้ “ในประเทศกรีกสมัยโบราณ ความรักระหว่างผู้ชายอายุมากกับเด็กผู้ชาย เป็นสิ่งที่น่าชมเชยอย่ายิ่ง” ถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมให้คลิกที่น ี่ (อ้างอิง No.2)

4.2  มันไม่ได้เป็นความลับเลย ว่าที่ประเทศไทย (ที่เสียชื่อทางด้านโสเภณีเด็ก) ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่มีชื่อเสียง ที่พวกชายรักร่วมเพศชอบไปเที่ยว ในข้อมูลนี้หน้า (อ้างอิง ref.8) ที่กล่าวถึงพวกชายรักร่วมเพศ เราจะพบว่าทำไมประเทศไทย จึงมีชื่อเสียงมากนัก ข้อมูลส่วนหนึ่งว่าไว้ดังนี้

“สถานที่ที่เกี่ยวข้องของพวกเกย์” (About The gay scene)

พวกเราปรารถนาและตั้งใจที่จะ ทำให้การเยี่ยมเยือนในย่านเกย์ของคุณ ให้มีความสุขเท่าที่จะเป็นไปได้ ลูกค้าจำนวนหลายคน คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตเกย์บนเกาะภูเก็ต แต่สำหรับผู้คนที่ อยากค้นพบสิ่งใหม่ ๆ เรามีความคิดเห็นที่ เราอยากจะแบ่งปันให้ท่าน

โปรดจำเอาไว้ว่า ผู้ชายไทยที่คุณจะพบในบาร์ เป็นคนทำงานเลี้ยงชีพ และการให้ความสุข และความพึงพอใจต่อคุ ณเป็นอาชีพของเขา ถ้าคุณชวนเขาพูดคุยในบาร์ ชั่วขณะหนึ่ง ให้ซื้อเครื่องดื่มให้เขา แล้วให้เงินทิปเขา หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง

คุณจะหาผู้ชายไทยได้ทั่วไป มีหลากหลายประเภท ผู้ชายที่เป็นผู้ชายแท้ ผู้ชายที่ดูคล้ายผู้หญิง หรือมีท่าทางการทำตัวเหมือนผู้หญิง เด็กผู้ชายที่เป็นเด็กชาย เด็กผู้ชายที่ดูเหมือนผู้หญิง และกระเทยที่แต่งตัวเป็นผู้หญิง แล้วก็อย่าแปลกใจเลยว่า ผู้ชายไทยบางคน ที่ไปร่วมหลับนอน กับนักท่องเที่ยวเกย์ เป็นผู้ชายแท้ ที่ไม่ได้เป็นเกย์เลย....... (ข้อคิดเห็น : พวกเขาทั้งหลายถูกเรียกว่า “ผู้ชายไทย” แต่ความจริงแล้ว มีจำนวนมากที่ยังเป็นเด็กผู้ชายอยู่)

หาดป่าตอง มีบาร์มากมาย มีคาบาเร่โชว์ อะโกโก้เด็กผู้ชาย มีโชว์เซ็กซี่ มีบาร์และภัตตาคาร และส่วนใหญ่ จะมีผู้ชายไทย ที่จะไปร่วมหลับนอนกับลูกค้ า ถ้าคุณชอบผู้ชายไทยคนไห นก็ให้ไปคุยกับกัปตัน หรือเจ้าของสถานที่นั้น คุณควรที่จะพูดตรงไปตรงม ากับผู้ชายไทย หรือเจ้าของสถานที่นั้น พยายามค้นหา ว่าเขาชอบอะไร และไม่ชอบอะไร แล้วก็ให้ตกลงกันก่อนว่า เขาจะร่วมค้างคืนด้วยหรือไม่ หรือเพียงต้องการ อยู่ชั่วคราวกับคุณ ถ้าคุณไม่ตกลงกันก่อนล่วงหน้า คุณอาจจะสับสนแล้วผิดหวังก็ได้ คุณต้องจ่ายค่าตัว ให้กับเจ้าของบาร์ ถ้าคุณต้องการที่จะ พาตัวผู้ชายไทย ออกไปนอกสถานที่ ค่าตัวที่ต้องจ่าย ให้ทางสถานที่ และคุณอาจจะต้อง ต่อรองค่าตัว ในการหลับนอน กับผู้ชายไทยได้ อาจจะเป็นแค่ อยู่ด้วยกันทั้งคืน หรือแค่ร่วมเพศกัน หรืออาจจะจ้าง ให้เขาอยู่เป็นเพื่อนกับคุณ ตลอดระยะเวลา ที่คุณพักอาศัยในภูเก็ต โปรดจำไว้ว่า เขาก็มีครอบครัว และเพื่อนเหมือนกัน และเขาก็ต้องการเวลา เป็นส่วนตัวของเขาเหมือนกัน การจ่ายเงิน อาจจะจ่ายตอนสุดท้ายก็ได้ แต่จะเป็นการดี ที่คุณจ่ายเงินเป็นงวด ๆ ในขณะที่คุณอยู่ร่วมกับเขา

ผู้ชายไทยที่คุณจะพบปะ ที่นี่จะมีวัตถุประสงค์ ที่จะคบหาสมาคม กับคุณแตกต่างกันออกไป ต้องการคบคุณ เพราะต้องการความสุข ทางด้านเพศสัมพันธ์ ต้องการความรัก ต้องการเงินเพื่อดำรงชีวิต หรืออาจจะเป็น ทุกอย่างที่ได้กล่าวมาร่วมกัน

พวกเราที่เป็นชาวเก ย์ ฝรั่งที่ปกติชอบมีเพศสัมพันธ์ เพื่อความสนุก หรือเป็นส่วนหนึ่ง ของการค้นหาความรักและความสัมพันธ์ แต่เราไม่ค่อยเตรียมตัวเตรียมใจว่า นั่นมันต้องจ่ายด้วยเงิน ที่ภูเก็ตนี่เป็น โลกของความจริง และไม่ว่าคุณต้องการที่จะ มีส่วนร่วมใด ๆ ก็ตามหรือไม่ มันอาจจะทำให้ การพำนักอาศัยในภูเก็ต โดยเฉพาะในแวดวงสังคม ของเกย์ง่ายขึ้น ถ้าคุณได้ซึมซับข้อมูลเหล่านี้ ไว้ในใจก่อนหน้านี้

พวกเราหวังว่า คุณจะมีความสุข ขณะที่คุณอยู่ที่นี่ และข้อคิดเห็นของพวกเรา จะช่วยให้ทุกอย่างง่ายขึ้น และดีขึ้นสำหรับคุณ”

เพิ่มเติมท้ายนี้ หลังจากที่ภูเก็ต ถูกถล่มด้วยสึนามิ ประเพณีเกย์พาเหรด ที่ถูกจัดขึ้นทุก ๆ ปี ก็ได้ถูกเลื่อนออกไป ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าผิดหวัง ของเหล่าเกย์อย่างพวกเรา นี่เป็นสิ่งที่ไม่น่าประกาศ ผ่านเว็บไซต์ของ RFSL เลย

4.3  ประเทศเนเธอแลนด์ และประเทศเบลเยี่ยม เป็นประเทศที่รู้กันดีว่า พยายามลด “อายุที่สมยอม” (age of consent) อย่างต่อเนื่องจาก ระหว่างเด็กที่โตแล้วกับเยาวชน (ปัจจุบัน 12 ขวบ) ดังนั้น มันไม่น่าแปลกใจเลยว่า Bo Svensson หัวหน้าศาลยุติธรรม ของศาลสูง ของประเทศสวีเดน และเป็นผู้หนึ่ง ที่ต่อต้านการค้ากาม ที่ได้รับช่วงต่อจากระบบยุติธรรม ของประเทศเบลเยี่ยม เขาได้ตอบข้อความ ในการสัมภาษณ์ที่เขา พยายามปกป้อง เพื่อนของเขาในศาลยุติธรรม ในสวีเดนที่ชื่อ Life Thorsson ที่ถูกกล่าวหาว่า ใช้เงินซื้อบริการทางเพศ กับเด็กผู้ชายหนุ่มในสต๊อกโฮม (อ้างอิง No.1)

4.4  เมื่อไม่นานที่ผ่านมานี้ หนังสือพิมพ์ ของพวกผู้ชายรักร่วมเพศ ได้พิมพ์บทความพิเศษ ที่ผู้จัดพิมพ์ได้อุทิศ เกี่ยวกับเรื่อง “การโต้วาทีว่าด้วยการ ล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก” ผู้จัดทำชื่อว่า John DeCecco ที่ดำรงตำแหน่ง เป็นบรรณาธิการของ “Paedika : The Journal of Paedophilia” ซึ่งเป็นสิ่งพิมพ์ในเนเธอแลนด์ ที่ให้การสนับสนุน “การค้นคว้าเกี่ยวกับ การละเมิดทางเพศเด็กและเยาวชน” (Pacdophilia Research) โดยพยายามที่จะ ทำให้การมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก เป็นสิ่งที่ยอมรับกันได้ในสังคม บทความพิเศษนี้ สะท้อนถึงการมีอิทธิพล การเจริญเติบโตของสังคม ของชายรักร่วมเพศ และเนื้อแท้ของเขาอย่างเปิดเผย ที่ไม่ประณามการร่วมเพศกับเด็กและเยาวชน (อ้างอิง REF.1) หน้า 63)

พวกล๊อบบี้ของชายรักร่วมเพศ ชอบที่จะเน้นย้ำ ว่าพวกชายที่รักเพศตรงข้ามมั กจะ กระทำชำเราเด็กและเยาวชน มากกว่ากลุ่มของชายรักร่วมเพศ ในสังคมปัจจุบัน แต่ถ้าเราพูดถึงจำนวนโดยรวม ของอาชญากรรมทางเพศ ต่อเด็กนี่ก็เป็นความจริง คนที่เชื่อคนง่าย ก็จะคล้อยตามไปด้วย แต่ถ้าคุณดูที่อัตรา หรือความถี่ หรือสถิติของการละเมิดทางเพศ พวกชายรักร่วมเพศ จะมีมากกว่าของคนทั่วไป โดยอัตราอาจจะเป็นประมาณ 10

เหตุผลหนี่ง ที่ทำให้มีการแตกต่างกัน ของการค้นคว้าครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เพราะว่า ยากที่จะหาตัวเลข ที่แน่ใจได้จากฐานข้อมูล และนี่อาจจะทำให้ คนบางคนไม่เชื่อถือ เรื่องนี้อย่างผิด ๆ เกี่ยวกับอัตรา หรือความถี่ของ การเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ของการกระทำชำเราเด็ก โดยกลุ่มชายรักร่วมเศ แต่จากการค้นคว้าวิจัยทั้งหมด ก็ได้คำตอบที่ชัดเจน

เพื่อที่จะให้แน่ใจ มีการค้นคว้า ที่พบอัตราที่ต่ำกว่า 10 การค้นคว้าอันนี้พบว่า (อ้างอิง REF.1) หน้า 64-65 และ (อ้างอิง ref.9) จะค้นพบว่าพวกชายที่รักเพศตรงข้าม จะกระทำผิดกฏหมายทางเพศ 36 เท่า มากกว่าเมื่อเทียบกับ พวกชายรักร่วมเพศ แต่จำนวนตัวเลขของการละเมิดทางเพศต่อเด็ก โดยชายที่รักเพศตรงข้าม “เพียงแค่” 11 เท่า มากกว่าการละเมิดทางเพศ ของพวกชายรักร่วมเพศ เพราะนั้นมันเป็นเพียงแค่ 3 เท่า มากกว่าโดยความเป็นไปได้ (=36/11) ที่พวกผู้ชายรักร่วมเพศ มักจะเป็นผู้ละเมิดทางเพศต่อเด็กและเยาวชน มากกว่าผู้ชายที่รักเพศตรงกันข้าม แต่ยังมีการค้นคว้าในปี ค.ศ. 1988 ที่รายงานไว้ในบันมทึก ในรายงานชื่อ “รายงานจิตวิทยาของมหาวิทยาลัย Ottawa” (Psychiatric Journal of the University of Ottawa) โดย Bradford, Bloomberg และ Bourget (อ้างอิง ref.10) เขาเหล่านี้ได้ค้นพบว่า พวกชายรักร่วมเพศ ได้ละเมิดทางเพศต่อเด็กและเยาวชน เป็นอัตราทั้งหมด 19%-33% ของการบันทึกทั้งหมด ถ้าพวกผู้ชายรักร่วมเพศทั้งหมด 3% นี้ “เป็นการแสดงตัวอย่างที่รุนแรง” ของการละเมิดทางเพศต่อเด็ก โดยชายรักร่วมเพศที่อยู่ใน อัตราระหว่าง 6 (=19/3) และ 11(=33/3) เท่า โดยพวกผู้ชายที่รักเพศตรงกันข้าม

มันสำคัญที่จะจำใส่ใจว่า ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973 เมื่อ APA ได้ประกาศอย่างกระทันหันว่า การรักร่วมเพศเป็นพฤติการณ์ ที่ปกติของคน (Myth 2 subchapter 1) (เรื่องที่ถูกปกปิดเรื่องที่ 2 บทรองในเล่ม 1) ระเบียบวินัยของจิตวิทยา ดูเหมือนว่าถูกพวกผู้ชายรักร่วมเพศ ครอบคลุมไว้ด้วยวาระที่ชัดเจน เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ที่เขียนบทความนั้น เป็นชายรักร่วมเพศ บทความหรือบทวิจัยนั้น ย่อมมีใจโอนเอียง หรือมีอคติอย่างแรง และบ่อยครั้ง ขาดความซื่อสัตย์ต่ออาชีพ “การวิจัยค้นคว้า” ในบทความที่ว่าด้วยเรื่อง เกี่ยวกับรักร่วมเพศ ให้ดูเรื่องที่ถูกปกปิดเรื่องที่ 3 ข้างล่างนี้ เพื่อหาตัวอย่างหลาย ๆ อัน เพราะฉะนั้นการค้นคว้า ในเรื่องเกี่ยวกับการละเมิดทางเพศของเด็กและเยาวชน โดยพวกชายรักร่วมเพศ ปัจจุบันนี้เป็นการค้นคว้า ที่ขาดการเชื่อถือ

REF.2 อ้างอิง REF.2 หน้า 121-140 ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการค้นคว้า ของผู้มีชื่อเสียงตั้งมากมาย ในรายงานทั้ง 12 ฉบับ ได้เจาะจงไปที่ชายรักร่วมเพศ มีอัตราความถี่ที่สูงกว่า ผมต้องการที่จะแนะนำ ถึงการอ้างอิงนี้ [ref.38] [อ้างอิง ref.38] (รายงาน : การล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก เป็นสิ่งที่ปกติธรรมดาในหมู่คน “ที่เป็นเกย์” – การค้นคว้าวิจัยที่เปิดเผย “ด้านมืด” ของประเพณีธรรมเนียม ของพวกชายรักร่วมเพศ) รายงานจากรายละเอียด ของการวิเคราะห์โดยรวม ของฐานข้อมูลจาก 12 รัฐ ในประเทศอเมริกา ในระหว่างปี ค.ศ. 1991 ถึง ค.ศ. 1996 ที่จัดพิมพ์โดยสำนังานกระทรวงยุติธรรม ของอเมริกาในปี ค.ศ. 2000 (ref.11) (อ้างอิง ref.11) และ (ref.12) (อ้างอิง ref.12) ที่บ่งบอกถึงอัตราส่วน 10:1 ของการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็ก ระหว่างชายรักร่วมเพศชาย ที่รักเพศตรงกันข้าม (No 3) (อ้างอิง No 3)

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

5.  โรคติดต่อจากการร่วมเพศ (Sexually Transmitted Deceases - STDs)

โรคเอดส์หรือ HIV อยู่ในสายตาของประชาชน ในช่วง 25 ปี ตั้งแต่เริ่มมีการแพร่กระจายของโรค ที่เรียกว่า “สโมสรอาบน้ำของชายรักร่วมเพศ” ในรัฐนิวยอร์คในปี ค.ศ. 1981 และหลังจากนั้นไม่นาน ก็แพร่ไปยังรัฐซานฟรานซิสโก วิธีปฏิบัติของพวกชายรักร่วมเพศ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่ง และป็นการทำลายตัวเอง ที่เป็นแรงผลักดัน ในการระบาดของโรคเอดส์ ถึงขั้นวิกฤต

ในขณะนั้นเชื้อโรคถูกเรียกชื่อว่า “โรคภูมิต้านทานบกพร่องของพวกเกย์ (Gay-Related Immune Disorder) แต่หลังจากนั้นไม่นาน สังคมของพวกเกย์ ได้กลายเป็นพวกที่มีอิทธิพลอย่างมาก ได้พลิกแพลงเปลี่ยนชื่อเป็น AIDS (Acquired Immune-Deficiency Syndrome) ทุกวันนี้ ทุกคนได้รับรู้ เกี่ยวกับการแพร่ระบาด ของโรคนี้ไปทั่วโลก ในชื่อ HIV หรือ AIDS

แต่นอกเหนือไปจาก HIV/AIDS/GRID ยังมีโรคที่ติดต่อ จากการร่วมเพศ อีกมากมายเช่น HPVS (Human Papillomavirus) เป็นกลุ่มที่มีไวรัส 70 ชนิด ในการค้นคว้าเกี่ยวกับ การรักร่วมเพศและพวก (bisexual) คือพวกที่ร่วมเพศได้ทั้งชายและหญิง ในรัฐซานพรานซิสโก ที่ชี้ชัดว่า โรค HPV เป็นโรค ที่แพร่กว้างขวางทั่วไป ในหมู่คนที่ติดเชื้อ HIV แล้วอีก 60% ในพวกที่ไม่ติดเชื้อ HIV ในคนรักร่วมเพศ และคนที่ร่วมเพศได้ทั้งชายและหญิง แล้วก็เช่นกัน โรคที่ติดต่อโดยการร่วมเพศอีกมาก เช่น ซิฟิลลิส ก็เป็นโรคทั่ว ๆ ไป ในหมู่ช่ายรักร่วมเพศ

สองเหตุผล ที่ควรสังเกตุในการแพร่กระจายของ โรคติดต่อจากการร่วมเพศ ในหมู่ชายรักร่วมเพศ :

5.1  อัตราความถี่ ของการร่วมเพศ ทางช่องทวารหนัก ของชายรักร่วมเพศ นั้นสูงมาก มีรายงานชิ้นหนึ่ง (อ้างอิง ref.13) : อัตราการเพิ่มของการร่วมเพศ ที่ไม่ปลอดภัย และโรคเชื้อไวรัส ในช่องทวารหนักของชาย ที่ร่วมเพศกับชาย (MSM) ในซานพรานซิสโก รัฐแคลลิฟฟอร์เนีย ในปี ค.ศ. 1994-1997 รายงานเกี่ยวกับอัตราการตาย และอัตราการป่วย (Mortality and Morbidity Weekly Report, Centers for Disease Control and Prevention) รายงานการควบคุม และป้องกันโรค 29 มกราคม ค.ศ. 1999 ชายรักร่วมเพศ มักจะร่วมเพศทางทวารหนัก ได้เพิ่มขึ้นจาก 57.6% เป็น 61.2% ในระหว่างปี ค.ศ. 1994 และ 1997 คุณต้องไปดูในเว็บไซต์ของ RFSL เกี่ยวกับ “สมุดคือคู่มือเกี่ยวกับทวารหนัก” (Anal Manual) ได้เปิดเผย อย่างเด่นชัดในเว็บไซต์ของเขา (อ้างอิง ref.14) แล้วคุณจะได้รู้ว่า มีการร่วมเพศทางทวารหนัก อย่างแพร่หลายในหมู่ชายรักร่วมเพศ

การร่วมเพศทางทวารหนัก ทำให้กิดการแพร่ระบาดโรค ที่สูงมากกว่าการร่วมเพศ ทางช่องคลอดของผู้หญิง ในการค้นคว้าของ New England Journal of Medicine ที่ค้นพบว่า “อัตราความเป็นไปได้ ของการแพร่ระบาดของ HIV ต่อการสมสู่ทางทวารหนัก โดยมิได้มีการป้องกันอยู่ที่ 0.008 และ 0.032 หรืออยู่ที่ 1 ใน 125 หรือเป็น 1 ใน 31 สำหรับแต่ละครั้งที่ร่วมเพศ (อ้างอิง REF.2) หน้า 71-72) ถ้าเปรียบเทียบกัน การร่วมเพศผ่านทางเพศของสตรีแล้ว จะพบว่าความเป็นไปได้ ของการแพร่เชื้อ HIV โดยมิได้ป้องกันนั้น “เป็นเพียงแค่” ระหว่าง 0.0005 หรือ 0.0015 หรืออยู่ระหว่าง 1 ใน 2000 หรือ 1 ใน 666 ดังนั้นการร่วมเศทางทวารหนัก จะเสี่ยงกว่าจาก 5 เท่าถึง 64 เท่า ของการร่วมเพศกับสตรี

การแพร่ระบาดโรค ไม่ใช่แค่ติดเชื้อผ่านทาง “การถ่ายเลือด” หรือ “ผ่านทางเสมหะหรือน้ำมูก” เท่านั้น เราได้นำหนังสือ ที่คุณจะหาอ่านได้ “Anal Pleasure and Health” โดย Jack Morin “หาความสุข จากทวารหนัก” และหนังสือ “A Guide for Men Women” โดย San Francisco, Down There Press 1998 หน้า 220 ที่เขียนไว้ว่า “การร่วมเพศผ่านทางทวารหนัก ทำให้เศษอุจจาระที่เล็กมาก สามารถเข้าไปในปากของคู่ขา ที่ร่วมเพศกัน”

5.2  เราเข้าไปดูในเว็บไซต์ของ RFSL เพื่อที่จะไปดูว่า พวกชายรักร่วมเพศนั้น เสี่ยงแค่ไหน ที่ร่วมเพศกัน โดยไม่ได้ป้องกัน (อ้างอิง ref.15) ที่นี่มีคนเขียนไว้ว่า “เรารักซึ่งกันและกัน และเราได้ผ่านการตรวจเชื้อ ว่าเราไม่มีเชื้อ HIV เราร่วมเพศกัน โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย แต่ถ้าเราร่วมเพศกับคนอื่น เราจะใช้ถุงยางอนามัย บางครั้งเราก็พูดคุยกัน ถึงการป้องกันเชื้อโรค ถ้าเราได้ตรวจเชื้อแล้วว่า เราไม่ติดเชื้อ HIV ในระหว่าง 3 เดือน ที่ผ่านมา เราก็จะร่วมเพศกันโดยปลอดภัย (ปกติวัตถุที่ก่อการต่อต้านเชื้อโรคในรางกายจะเริ่มก่อตัวขึ้นหลังจาก 3 เดือนไปแล้ว) ดังนั้น คุณควรที่จะ ทำการตกลงกับคู่ขาของคุณ ว่าจะเอาอย่างไร ถ้าคุณไปพบเจอคู่ขาคนใหม่ จากนั้นก็ให้ใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่ร่วมเพศ แล้วให้บอกคู่ขาคุณโดยทันที ว่าคุณได้ร่วมเพศกับคนอื่น โดยที่ไม่ได้ป้องกันตัว นี่คือวิธีที่ดี”

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

6.  การไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่สมรส (Infidelity with partner)

โดยเฉลี่ยแล้วพวกชายรักร่วมเพศ จะมีคู่ขาร่วมหลับนอนอยู่ที่ 50 คน ในตลอดชีวิตของเขา ส่วนชายที่รักเพศตรงข้ามจะมีคู่ขา 4 คน (อ้างอิง REF.1); หน้า 54) แต่ก็มีชายรักร่วมเพศ ที่ซื่อสัตย์ต่อคู่ขาของเขา แต่มีน้อยอยู่กันตลอดชีวิต และพวกชายที่รักเพศตรงข้าม ที่สำส่อนไม่เลือกหน้าก็มี ในการสำรวจ 12 เดือน ที่ผ่านมา พบว่าพวกชายที่รักร่วมเพศ มีคู่ขา 8 คน ในขณะที่ชายที่รักเพศตรงข้าม มีคู่ขาอยู่ที่ 1.2 คน การร่วมเพศทางทวารหนัก ของชายรักร่วมเพศอยู่ที่ 65% ในขณะที่ชายรักเพศตรงข้ามอยู่ที่ 9.5%

นอกเหนือจากการเสี่ยง จากการติดเชื้อโรค ผ่านการร่วมเพศ ที่สูงขึ้นแล้ว จำนวนของความไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่สมรส (คู่ขา) ก็มากด้วย นั่นทำให้เกิดความรู้สึก ทางอารมณ์ที่ชอกช้ำ สำหรับคน ๆ หนึ่ง ที่ถูกทอดทิ้ง (นอกเหนือจากการชอกช้ำ ทางอารมณ์ ของลูกบุญธรรมด้วย เพราะบางคู่ อาจจะมีลูกบุญธรรม) การกระทำอนาจารต่อเด็ก หรือการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กและเยาวชน ได้กลายเป็นจริงแล้ว สำหรับเด็กตัว เล็ก ๆ ของเราในสวีเดน เมื่อรัฐสภา (Riksdag) ได้ทำให้เราเสื่อมเสีย โดยการให้สิทธิ์ชายรักร่วมเพศ สามารถมีบุตรบุญธรรมได้ อย่างถูกกฏหมาย (ดู “การเดินพาเหรดอวดตัว ที่น่าขายหน้า” ภายใต้เรื่อง ที่ถูกปกปิดเรื่องที่ 4.2 ข้างล่างนี้)

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

7.  การยอมรับทางด้านสังคม และทางด้านศาสนา (Social and religious acceptance)

ชาวสวีเดนส่วนใหญ่ ยังคงไม่เห็นด้วยว่าวิถีการดำเนินชีวิต ของผู้ชายรักร่วมเพศ เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ เหตุผลนั้นมีอยู่ 2 อย่างด้วยกัน 7.1 ชาวสวีเดนบางคนขุ่นเคือง ไม่พอใจกับความจริง ที่ว่าโดยเฉลี่ยแล้วใช้เงินภาษีของรัฐบาล ไปในทางการรักษาโรคเอดส์ และโรคที่แพร่จากการร่วมเพศที่ผิด การบำบัดผู้ติดยาเสพติด ของผู้ชายรักร่วมเพศ 7.2 หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงข องปฏิกริยาทางสังคมอย่างมาก ในสวีเดนในรอบ 10 ปี คนสวีเดนบางคน ยังมีรากฐานของการเชื่อในศาสนาอ ยู่ที่ยังเชื่อว่าวิถีชีวิต ของชายรักร่วมเพศนั้นผิด เราลองมาดูซิว่า ศาสนาใหญ่ 3 ศาสนา ในสังคมเราทุกวันนี้ พูดเกี่ยวกับการรักร่วมเพศว่าอย่างไร

อิสลาม

อิสลาม - เป็นศาสนาใหญ่ ที่ห้ามไว้อย่างชัดเจน ว่าด้วยความประพฤติ เกี่ยวกับชายรักร่วมเพศ

(คำอ้างในกุลอ่าน 4:16) ถ้าชายสองค นมีความรักใคร่ต่อกัน แบบผิดธรรมชาติ เขาทั้งสองค นจะต้องถูกลงโทษ

(คำอ้างในกุลอ่าน 27:55) คุณควรที่จะ ไปหาความรักใคร่ จากชายมากกว่าหญิง หรือ ไม่ใช่หรอกคุณ คือคนโง่เขลา

ศาสนาของชาวยิวและคริสเตียน

ศาสนาทั้งสองนี้ โดยทางประเพณีไ ด้ประนามการรักร่วมเพศของผู้ชาย แต่ความเป็นจริง ชาวคริสเตียนเป็นจำนวนมาก ในปัจจุบันได้เปลี่ยนศาสนาของตนแล้ว เข้าไปสู่เป็นพวกคนรักร่วมเพศ ถ้าอยากทราบว่า นี่เกิดขึ้นได้อย่างไร ในรอบ 30 ปี ที่ผ่านมาให้คลิกไปที่ (อ้างอิง No.6; เพื่อโต้ตอบถึง การรุกไล่และการคืบคลาน เข้ามาของการรักร่วมเพศ ในสังคมโดยกลุ่มที่รักศาสนา) ศาสนาหลักทั้ง 3 ศาสนาในประเทศสวีเดน ได้ประนามการรรักร่วมเพศไว้ ในคัมภีร์อันศักสิทธิ์ และในคุณค่าที่ดีงามดั้งเดิมของเขา ทำให้พวกรักร่วมเพศ ไม่สามารถทนทานต่อสังคมได้ เพราะฉะนั้นถ้าหากบุตรหลานของท่าน มีพฤติกรรมเป็นรักร่วมเพศ เขาหรือเธอได้รับความลำบาก ถ้าไปคบกับคนบางคนในประเทสสวีเดน

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

8.  แนวคิดด้านทางเพศที่ผิดปกติ (An abnormal focus on sex)

โดยทั่ว ๆ ไป คนที่รักร่วมเพศ มักจะมีเรื่องเกี่ยวกับเซ็กส์ อยู่ในใจและเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเขา คนเราเมื่อแตกเนื้อหนุ่ม หรือแตกเนื้อสาว จะมีความรู้สึกทางเพศ และตามธรรมชาติก็จะ มีความสนใจในทางเพศ แต่ในขณะที่ผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม มีปัญหาทางครอบครัว ซึ่งทำให้ชีวิตสมรสพังทลายลง การสำรวมทางเพศ ก็พังทลายลงไปด้วย แต่สำหรับคนรักร่วมเพศแล้ว มันไม่เป็นธรรมชาติ ทั้งทางด้านขอบเขต และความรู้สึกแรงกล้าทางเพศ คุณไม่เคยเห็นสมาคมคนรักเพศตรงข้าม เฉลิมฉลองเรื่องทางเพศของเขา ในประเทศสวีเดน สต๊อกโฮม “เดินพาเหรดแบบพวกเกย์” เฉลิมฉลองและเที่ยวบอกชาวบ้านว่า เขาไม่เบี่ยงเบนทางเพศ ซึ่งต่างจากพวกชายรักร่วมเพศ พวกเขาจะเต้นรำอยู่บนรถกระบะ โชว์ท่าทางเลียนแบบ การร่วมเพศกันบนท้องถนน พวกชายรักเพศตรงข้าม เขาจะไม่ทำสิ่งเหล่านี้ เพราะเขามีสิ่งมากมาย และหน้าที่ที่จะต้องทำ ในชีวิตของเขา

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

9.  ปัญหาเกี่ยวกับทางทวารหนัก (Rectal problembs)

ถึงแม้จะใช้ถุงยางอนามัย เพื่อที่จะลดความเสี่ยงของการติดเชื้อโรค เช่น ไวรัสหรือแบคทีเรีย (ดูข้างบน) การร่วมเพศทางทวารหนัก ทำให้เกิดการบาดเจ็บ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ ถูกกระทำทางทวารหนัก ช่องทางทวารหนัก ถูกสร้างขึ้น เพื่อการขยายตัว ที่จะถ่ายไปตามช่องทางนั้น แรงดันจากอวัยวะเพศชา ยอาจจะทำให้ช่องทางทวารนี้ บาดเจ็บได้ แล้วที่แย่ไปกว่านั้น หรือการกระทำที่ทำกันทั่วไปคือ “การใช้กำปั้น” (Fisting) สอดเข้าไปในทวารหนัก ซึ่งอธิบายไว้ในเว็บไซต์ของ RFSL เรื่อง “คู่มือเกี่ยวกับทวารหนัก” (Anal Maunal) (อ้างอิง ref.5)

“การใช้กำปั้น (Fisting)

การร่วมเพศโดยใช้กำปั้น สอดเข้าในช่องทวารหนัก เป็นเทคนิคร่วมเพศที่ก้าวหน้า ซึ่งหมายถึงต้องใช้ท่อนแขน สอดเข้าไป คนยัดกำปั้นเข้าไป และคนที่ถูกกระทำ ต้องมีความรู้เรื่องนี้อย่างมาก ผสมกับต้องมีความสงบเสงี่ยม รู้รับผิดชอบ และต้องตั้งสติ มันเป็นเรื่องของการปฏิบั ติและความมั่นใจทั้งสองฝ่าย ถ้าคนใช้กำปั้น สอดเข้าไปในทวารหนัก ของผู้ชายอีกคนหนึ่งนั้น เป็นสิ่งที่มีเกียรติ คนที่คุณเอากำปั้น ยัดเข้าไปในทวารของเขา ต้องการแสดงให้คุณเห็นว่า เขาเชื่อใจคุณ และนั่นก็หมายถึง คุณต้องเคารพความอ่อนแอ และความไม่มั่นคงของเขา

คนที่เอากำปั้นยัดเข้าไป เรียกว่า “fister” ฟิสเตอร์ที่ดีจะต้องเอาใจใส่ อย่างเต็มที กับการตอบรั บของคู่ขาของเขา คนที่ให้เขาเอากำปั้ นยัดเข้าไปต้องมีอารมณ์ผ่อนคลาย และเคลิ้มไปกับอารมณ์ด้วย มากกว่าที่บังคับ ให้ช่องทวารของตนเองปิดกว้าง ถ้าคุณเป็นแค่ผู้ฝึกหัด หรือเป็นเด็กใหม่ คุณต้องหาฟิสเตอร์ที่มีประสบการณ์ ไว้เป็นครูสอน ข้อแนะนำบางข้อที่จะต้องจำใส่ใจ

·      เตรียมตัวด้วยการล้างหรือถ่ายอุจจาระ

·      หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ โดยควรตัดเล็บนิ้วมือให้สั้น ถอดแหวน และกำไลข้อมือ

·      ให้ใช้ถุงมือยาง

·      ถุงยางจะต้องไม่ใช้ซ้ำกับคนอื่น – ให้เปลี่ยน

·      ให้ใช้น้ำมันหรือเจลหล่อลื่น เจลน้ำมันหลื่อลื่น ถ้าทำมาจากสารจำพวกซิลิโคน (Silicone Base) จะดียิ่งขึ้น

·      ถ้าคุณใช้น้ำมันหล่อลื่น ที่เป็นน้ำเหลว ให้เตรียมน้ำไว้หนึ่งแก้วใหญ่ไว้ข้าง ๆ คน เพื่อที่จะใช้มือคุณจุ่มลงไป

·      ให้หลีกเลี่ยง Rimming คือการใช้ลิ้นเลียที่ขอบทวารหนัก เขาเรียกว่า “ริมมิ่ง ” หลังจากที่คุณทำฟิสติ้ง fisting แล้ว

·      ก่อนอื่นให้เลียและร่วมเพศก่อน แล้วค่อย Fist (ใช้กำปั้นสอดเข้าไป)

(นี่เป็นคำอ้างอิงจากเว็บไซต์ของ RFSL)

เพราะฉะนั้น แม้แต่ใช้ถุงยางอนามัย เพื่อที่ลดการเสี่ยงภัย จากการติดเชื้อไวรัสหรือเบคทีเรีย การร่วมเพศทางทวารหนัก อาจเกิดการบาดเจ็บขึ้นได้ โดยเฉพาะการบาดเจ็บ จะเกิดกับผู้ถูกกระทำ นี่เองจะนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “การกลั้นอุจจาระไม่อยู่หรืออุจจาระรั่ว” (rectal incontinence) และรวมถึงการเกิดโรคมะเร็งด้วย เนื้อเยื่ออ่อนที่อยู่รอบ ๆ ในทวารหนัก ก็จะถูกทำลายไปอย่างถาวร จะมีรอยแยกหรือโป่งบวม เนื่องจากเนื้อเยื่ออ่อน ที่หุ้มแตกในทวารหนัก โดยไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า และทำให้เกิดการติดเชื้อของแบคทีเรีย ที่แทรกเข้าไปในเส้นเลือดได้ ที่กล่าวมานี้จะไม่ทำ ให้เกิดอาการแสดงออกมาอย่างเด่นชัด เพราะฉะนั้นแม้กระทั่ง คนรักร่วมเพศที่ซื่อสัตย์ต่อคู่ขา หรือไม่สำส่อนที่เสี่ยงต่อการติดโรคเอดส์ ที่น้อยกว่า เขาเหล่านั้นมักจะ ประกอบกิจกรรมทางเพศเช่นนั้นประจำ และจะทำให้คนอื่น ต้องรับเคราะห์ไปด้วย

มักจะมีผู้เคราะห์ร้าย ที่ติดเชื้อที่เกิดจากเศษอุจจาระ เล็ดลอดเข้าไปในเส้นเลือด ที่มีอาการสาหัส และบางครั้งถึงกับเสียชีวิต เช่น การติดเชื้อของฮิปปาไททิส บี (hepatitis B shigellosis, Guardia Lamblia) ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกตั้งชื่อว่าเป็นโรค “อาการโรคท้องร่วงของพวกเกย์” (Gay Bowel Sundrome – GBS) (อ้างอิง REF.2); หน้า 80-82) หนังสือชื่อ “Sexually Transmitted Viral Hepatitis and Enteric – Pathogens” โดย F.N. Judson ที่ว่าด้วยการติดเชื้อโรค โดยการร่วมเพศของไวรัสฮิปปาไททิส และหนังสือ Vrology Clinics of North America II, No. 1 (กุมภาพันธ์ 8 ค.ศ. 1884 หน้า 177-185) โดยมีหัวข้อหนึ่งที่กล่าวไว้ดังนี้ว่า

“เพราะว่าการมีเพื่อนคู่ขา หรือคู่นอนเป็นจำนวนมาก ของคนรักร่วมเพศ การร่วมเพศโดยทางทวารหนัก จะทำให้เกิดการเสี่ยงที่สูง ที่จะติดเชื้อซึ่งทางการแพทย์ (ชื่อโรคทางการแพทย์) ว่าดังนี้คือ hepatitis B, giardiasis, amebiasis, shigellosis, campylobacteriosis and anurectala infections with Neisseria gonorrhea, chlamydia trachomatis, treponema palladium, herpes Simplex Virus, HPV (Human Papilloma Viruses)”

คุณที่เป็นพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย เมื่อใดที่ได้อ่านบทความนี้แล้ว ก็อาจจะมีความคิดเห็นส่วนตัว ที่เป็นเอกเทศเกี่ยวกับ การเลือกวิถีชีวิตที่ดีกว่า ให้กับบุตรหลานของท่าน (โดยเฉพาะถ้าบุตรหลานของท่าน เป็นเด็กผู้ชาย) โดยเฉพาะคุณจะ เตรียมตัวเตรียมใจอย่างไร เพื่อวางขอบเขตที่จะป้องกันบุตรหลานคุณ กลายเป็นคนรักร่วมเพศ ในบทความต่อไป (เรื่องที่ถูกปกปิดเรื่องที่ 2) เราจะมาร่วมกันสำรวจว่า คุณจะทำอย่างไรที่จะ ชักจูงบุตรหลาน (ในขณะที่ยังเป็นเด็กเยาว์วัย) เพื่อที่คาดล่วงหน้าได้ว่า บุตรหลานของท่านจะ ไม่เบี่ยงเบนทางเพศ และเป็นไปตามที่คุณต้องการ เมื่อเขาเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

รื่องที่ถูกปกปิดเรื่องที่ 2 : คุณไม่สามารถที่จะ มีอิทธิพลต่ออนาคตของการกำหนดทิศทาง เรื่องเพศของบุตรหลานได้ (Myth Number 2: You cannot influence a child’s future sexual orientation)

ในการตีแผ่เรื่องราวต่อไปนี้ ผมขอเลือกอธิบาย ถึงการกระทำที่คุณควรปฏิบัติ และกระทำที่ควรจะหลีกเลี่ยง ถ้าคุณต้องการที่จะ ให้บุตรหลานของคุณ เลือกวิถีการดำเนินชีวิตแบบ ผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม ตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ได้ อย่างไรก็ดีถ้าคุณชอบ วิธีการดำเนินชีวิตแบบช่ายรักร่วมเพศแล้ว คุณควรที่จะทำตรงกันข้าม กับสิ่งที่ถูกแนะนำ ไว้ข้างล่างนี้ (เช่น ผู้ชายรักร่วมเพศ ที่ต้องการขอบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง)

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

1.  ผลงานที่ทำให้เชื่อมั่นได้ จากการค้นคว้าวิจัยอย่างกว้างขวาง ถูกระงับยับยั้งจากองค์กรนักวิ่งเต้น ล๊อบบี้ของพวกชายรักร่วมเพศ (Convincing results from extensive research is suppressed by the homolobby)

ข้อแรกคำพูดที่ถูกกล่าวไว้ว่า “ถูกต้องตามกระแส หลักทางการเมืองในขณะนั้น” ในประเทศสวีเดนในปัจจุบันนี้ สิ่งที่ตามก็คือ การเกลียดและกลัวรักร่วมเพศ ในประเทศของเรา (ซึ่งเป็นภาพที่มีอคติหรือไม่เหมาะสม ของการเบี่ยงเบียนทางเพศ) ถึงแม้ว่าจะถูกสื่อความหมายว่า เป็นการประณามอย่างรุนแรง มันก็เป็นคำที่ใช้ได้และเหมาะสม มันเป็นคำที่ตรงกันข้ามกับ ลัทธิที่สนับสนุนกิจกรรม ของคนรักร่วมเพศ (ซึ่งถูกมองแบบเป็นมิตร เป็นที่นิยมชมชอบ ของการเบี่ยงเบียนทางเพศ) ในประเทศสวีเดน ในปัจจุบันนี้ มีคนเป็นจำนวนมากมาย ที่ชอบลัทธิที่สนับสนุนกิจกรรม ของคนรักร่วมเพศ มากกว่าพวกที่เกลียดและกลัว รักร่วมเพศ มันพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากสิ่งที่เคยเป็นมาจากคนยุคก่อน

นี่คือผลงานของการโฆษณาชวนเชื่อ ที่ดังกระหึ่มอย่างไม่หยุดยั้ง จากหน่วยงานของ RFSL และ SVT ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ถ้าคุณไม่ได้เป็นชาวสวีเดน คุณควรที่จะรู้ไว้ว่า SVT เป็นสื่อโทรทัศน์ ที่ได้รับสัมปทาน ผูกขาดจากรัฐบาล ซึ่งมีผลต่อการโฆษณาชวนเชื่อ และเป็นหน่วยหนึ่ง ที่ปลูกฝังความเชื่อของ RFSL เพราะฉะนั้นไม่น่าแปลกใจเลยว่า SVT ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ “รางวัลสายรุ้ง” (Rainbow Award) ว่าเป็นผู้สนับสนุนที่สำคัญที่สุด และดีที่สุดของวาระ ของพวกผู้ชายรักร่วมเพศ รางวัลที่ได้รับนี้เกี่ยวโยงกับการจัดงาน “สัปดาห์แห่งความภาคภูมิของพวกเกย์” (Gay Pride Week) ในกรุงสต๊อกโฮมในสวีเดน เมืองหลวงสต๊อกโฮมของเรา ได้กลายเป็นแม่เหล็ก สำหรับลัทธิ ที่สนับสนุนกิจกรรมของผู้ชายรักร่วมเพศ จากทั่วทั้งทวีปยุโรป (จุดศูนย์รวมของคนที่เป็นมิตร และนิยมชมชอบพวกเกย์)

องค์กรวิ่งเต้นล๊อบบี้ ของชายรักร่วมเพศ เป็นองค์กรที่มีอิทธิพลมาก ในสังคมของเราทุกวันนี้ มีอยู่ทุกระดับชั้นของสังคม พวกเขารู้ดีว่า อิทธิพลทางการเมืองของพวกเขา ขึ้นตรงอยู่กับสัดส่วน และจำนวนของพวกเกย์ พ่อแม่หลายต่อหลายครอบครัว รวมทั้งญาติพี่น้อง กลายเป็นผู้สนับสนุนองค์กร RFSL เมื่อพวกเขาได้เรียนรู้ว่า หนึ่งในสมาชิกของครอบครัวของเขา ได้กลายมาเป็นชายรักร่วมเพศ ในขณะเดียวกันนั้น ในส่วนลึกของหัวใจพวกเขา เชื่อว่ามันเป็นโศกนาฎกรรม เพราะฉะนั้นถ้าคุณเป็นพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย คุณก็คงประสงค์ว่า วันหนึ่งบุตรหลานของคุณ จะเลือกมีเพศสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม ให้คุณตั้งใจฟังต่อเรื่องราวต่อไปนี้

เนื้อหามากมายต่อไปนี้ ถูกนำมาลงตีพิมพ์ (โดยได้รับอนุญาต) จากหนังสืออเมริกันเล่มหนึ่ง ซึ่งเขียนโดย Joseph Nicolosi ชื่อเรื่อง “แนะแนวพ่อแม่ เพื่อการป้องกันการเป็นผู้ชายรักร่วมเพศ” (A Parent’s Guide to Preventing Homosexuality) (อ้างอิง REF.3) Nicolosi ได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ ในสาขาวิชาจิตวิทยา ควรสังเกตุไว้ว่า หนังสือของเขา เขียนบนพื้นฐานของ การวิจัยเกี่ยวกับด้านจิตวิทยา ที่ปรากฏออกมา และไม่ได้อยู่พื้นฐานของ ข้อคิดเห็นทางด้านศาสนาแต่อย่างใด ด้วยสาเหตุของมุมมองของ Dr. Nicolosi เขาเป็นที่รังเกียจสาปแช่งของผู้นำ และสมาชิกอีกมายมายของ “สมาคมจิตวทิยาของอเมริกา” ในปีค.ศ. 1973 มีอีกสมาคมหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกันคือ “สมาคมการบำบัดและรักษาโรคทางจิต” หรือ “APA” ได้ลงคะแนนเสียงที่จะ ถอดถอนการรักร่วมเพศ ออกจากรายชื่อของโรค ที่ยืนยันอย่างเป็นทางการว่าจะ ต้องถูกบำบัดทางจิต (สมุดคู่มือเกี่ยวกับ สถิติการวินิจฉัยโรค) หรือ DSM โดยย่อ มันเกิดขึ้นแบบน้อง ๆ ของการปฏัวัติ โดยผู้คนจำนวนแคบ ๆ แต่เถียงเก่งชอบเถียง และกลุ่มชายรักร่วมเพศ ที่ฉุนเฉียวและพวกที่เห็นอกเห็นใจ พวกชายรักร่วมเพศ (อ้างอิง REF.1) หน้า 32-35) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คนรักร่วมเพศ ที่เป็นผู้บำบัดโรคจิต นักจิตวิทยา และพวกที่เห็นด้วยกับพวกเขา ค่อย ๆ เข้าไปควบคุมการวิจัยค้นคว้า การเขียนรายงาน การประชุมอภิปราย ภายในองค์กรของพวกเขา จากตัวอย่างอันหนึ่งอ Dr. Nicolosi อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลง ของนโยบายอันนี้ เขาเขียนไว้ว่า (อ้างอิง REF.3); หน้า 171-172)

“โรคที่ว่าถูกต้อง ตามกระแสหลักทางการเมือง ในเวลานี้ ได้เริ่มระบาดในสมาคมสุขภาพทางจิตของเรา และเรื่อย ๆ มา การประชุมประจำปี 1992 ของสมาคมการบำบัดโรคทางจิตของอเมริกา ที่มีหมายกำหนดการ ที่จะรวมการโต้วาที เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าควรหรือไม่ควร ที่คนเบี่ยงเบนทางเพศ สามารถถูกเปลี่ยนแปลง รักษาได้ด้วยวิธีการบำบัดรักษา แต่การถกเถียงอภิปรายนั้น ถูกยกเลิกเพราะผู้อภิปรายที่มี กำหนดการไว้ได้ถอนตัวออกไป โดยพูดว่าหัวข้อของการรักร่วมเพศ ที่ว่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เป็นเงื่อนไขทางการเมือง เกินกว่าสำหรับการประชุม ทางด้านวิทยาศาสตร์ คุณหมอโรคจิต Jeffrey Satinover และผมถูกเสนอตัวตั้งแต่แรก ให้เป็นสมาชิก ของคณะกรรมการนั้น แต่แพทย์รักษาโรคจิต ที่เป็นเกย์และผู้รณรงค์ ซึ่งเป็นแพทย์เช่นเดียวกันปฏิเสธที่จะ เข้าร่วมการะประชุม ถ้าผมและ Satinover ได้มีส่วนเข้าร่วมกับการสนทนานั้น

ดังนั้น คุณอยู่ในสถาบันที่มีการศึกษา และคิดว่าการรักเพศตรงข้ามนั้ นเป็นการโน้มน้าวหรือ โชคดีให้คุณได้แสดงความคิดเห็นของคุณได้ พิมพ์วิทยานิพนธ์ของคุณได้เล ยและบอกต่อ ๆ ให้กับผู้ร่วมงานของคุณด้วย คุณควรที่จะ เก็บมุมมองนั้นไว้กับตัวคุณ หรือคุณอาจจะพบว่า ตัวเองนั่นแหละ ที่จะถูกบีบออกจากชมรม เพื่อการพบปะสังสรรค์ ที่คุณพยายามอย่างหนักมาก ที่คุณอยากได้รับการรับรอง”

สำหรับข่าวสารเพิ่มเติม ในหัวข้อนี้ให้คลิกไป ที่ลิงค์เชื่อมโยง (อ้างอิง No.4) ในช่องข้าง ๆ)

ถ้าการปิดบังความจริง โดยพวกนักวิ่งเต้นล๊อบบี้ของขายรักร่วมเพศ ในอเมริกานั้นเป็นไปแบบแพร่หลาย ลองคิดดูซิว่า มันจะเป็นอย่างไรในประเทศของเรา มันอาจจะไม่มีนักจิตวิทยา หรือแพทย์ผู้บำบัดโรคทางจิต สักคนเดียวในสวีเดน ที่ต้องการหรือกล้าที่จะ ร่วมมือกับพ่อแม่ ผู้ปกครองที่นำลูกชายมารักษา สำหรับผู้ที่เป็นห่วงบุตรหลาน เกี่ยวกับการพัฒนาการประพฤติของลูกชาย ไปในทางสตรี เพราะฉะนั้นคุณซึ่งเป็นพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย ถูกทอดทิ้งตามลำพัง ในการเผชิญหน้าเกี่ยวกับ การกำหนดทิศทางเรื่องเพศ ที่จะตามมาของบุตรหลานของท่าน ผมได้ทำข่าวสารข้อมูลเพื่อที่จะ ช่วยเหลือคุณโดยปราศจากค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น กรุณาติดต่อผมได้ ภายใต้หัวข้อ “สิ่งพิมพ์ ใบปลิวฟรี” บนแถบข้างของเมนู หรือเขียนจดหมายถึงผม ณ ที่นี่

หลังจากการแนะนำ ที่ค่อนข้างจะยืดยาวนี้ เราลองมาดูว่า อะไรคือการวิจัยค้นคว้า ที่ซื่อตรง ที่เปิดเผยให้เราได้รู้ความจริง และสิ่งที่คุณสามารถจะทำได้ เพื่อที่จะป้องกันอาการเกิดขึ้นต้น ก่อนการเป็นคนรักร่วมเพศ และการเป็นชายรักร่วมเพศอย่างเต็มตัว จากการพัฒนาการเข้าสู่ ในตัวบุตรหลานของท่าน ขั้นแรกเราลองมาดูที่ ต้นตอหรือแหล่งกำเนิดของการรักร่วมเพศ ในหมู่เด็กชายกันเถอะ

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

2.  รายงานการวิจัยค้นคว้าโดย Bieber et al (อ้างอิง REF.4) (Research Report By Bieber et al

เรามาดูกันก่อนที่ การค้นคว้าที่สำคัญ ดำเนินการโดย Irving Beiber และแพทย์ผู้บำบัดโรคจิต และนักจิตวิทยา รวมแล้วราว 70 ท่าน การค้นคว้าแบบครอบคลุม เริ่มขึ้นในปี 1952 และอีก 10 ปี ต่อจากนั้น (หลังจากการประเมินค่า และกิจกรรมที่ติดตามมาอย่างสม่ำเสมอ) ทีมที่มีแพทย์ 8 คน ในวิชาชีพของการวิเคราะห์ทางจิตและหมอโรคจิต 1 คน ในคณะกรรมการนี้ ร่วมกันออกประกาศผลของการรายงาน ชื่อว่า “การรักร่วมเพศ : การค้นคว้าทางด้านการวิเคราะห์ ทางจิตวิทยาของผู้ชา ยที่รักร่วมเพศ นิวยอร์ค : Basic Books, 1962 (อ้างอิง REF.4) (Homosexuality : A Psychoanalytic Study of Male Homosexuals, New York : Basidc books, 1962. (อ้างอิง REF.4)

ในการเพิ่มเติมของขนาด ในขอบเขตที่กว้างขวางมากมาย และความเชี่ยวชาญ ของผู้เขียนหลายท่าน การค้นคว้านี้สำคัญ สำหรับ 2 เหตุผลที่สำคัญ :

2.1 มันถูกดำเนินการ ระหว่างปี 1952 ถึง 1962 เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะกลายเป็นสิ่งต้องห้าม ที่มองการรักร่วมเพศ ที่เป็นความประพฤติ ที่ไม่เหมาะสม และควรที่จะป้องกัน หลังจาก 1973 เมื่อองค์การ APA ได้แยกการรักร่วมเพศออก มาจากความผิดปกติของมนุษย์ และออกจากคู่มือสถิติการวินิจฉัยโรค มันได้กลายเป็น สิ่งที่เป็นไปไม่ได้โดยแท้จริง ที่จะดำเนินการค้นคว้าสาขาวิชานี้ และถ้ากลุ่มนักวิจัยค้นคว้าใดก็ตาม ที่กล้าพอที่จะทำการใด ๆ อย่างนี้ในปัจจุบันนี้แล้ว เขาทั้งหลายก็จะ ถูกตัดออกไปจากสังคม โดยเพื่อน ๆ รวมอาชีพของตน แต่บทพิสูจน์ยังคง ยืนหยัดอยู่ทุกวันนี้ และก็สำคัญเป็นอย่างมาก สำหรับผู้ปกครอง ที่พยายามสืบหา ที่จะหลีกเลี่ยงการพัฒนาการ เป็นชายรักร่วมเพศในลูกชายของตน

2.2 ในปี 1962 การรักร่วมเพศ ยังไม่ได้รับการทำ ให้เป็นที่นิยมทั่วไป โดยการป่าวประกาศในสื่อสารมวลชน หรือได้รับการสรรเสริญ จากวงการธุรกิจ เกี่ยวกับการบันเทิง ทุกวันนี้มันได้แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

ลองดูซิว่า RFSL เขียนไว้บนเว็บไซต์ของเขาทุกวันนี้ (อ้างอิง ref.16) แล้วคุณจะได้เข้าใจว่า ผมกำลังพุดเรื่องอะไร :

“ใครได้กับใคร? เกี่ยวกับเรื่องเพศ สำหรับคุณที่ยังหนุ่มและเกินวัยหนุ่ม

ผู้หญิงสาวคบกับกระเทยหนุ่ม ที่สวยและดูดี กระเทยหนุ่มคบกับกระเทยหนุ่มอีกคนหนึ่ง ชายหนุ่มเกิดไปอยู่ร่วมกับหญิงสา วที่น่ารักคนหนึ่ง ซึ่งหญิงสาวคนนั้น เพิ่งได้อยู่ร่วมกับหญิงสาวอีกคนหนึ่งมาแล้ว ลองดูซิว่า คุณมีความสนใจทางเพศประเภทไหน ใครคือตัวตนของคุณ ที่ต้องการที่จะเป็น และอะไรที่เป็นที่น่าสนใจของคุณ โลกนี้เปิดกว้า ง และมีอะไรอีกมากมายหลายอย่าง ที่คุณอยากจะลอง และมันเป็นไปได้ทุกอย่าง และแน่นอนว่าคุณย่อมเสียใจ ต่อหลายสิ่งหลายอย่าง ที่คุณไม่เคยลองดูมากกว่า สิ่งที่คุณได้เคยลองทำแล้ว” (จบคำพูดอ้างอิงจากเว็บไซต์ของ RFSL)

มันเป็นการแน่ชัดแล้วว่า ทุกวันนี้คนหนุ่มสาวทั้งหลาย ที่ไม่ได้สมัครใจมาก่อน ที่จะ กลายมาเป็นพวกรักร่วมเพศ (เช่น พวกเขาเหล่านั้นไม่เคยเป็น “คนรักร่วมเพศที่กำหนดไว้ล่วงหน้า” เนื่องด้วยการอบรมที่ไม่ดี) อย่างไรก็ตาม ก็จะเลือกวิถีการดำเนินชีวิตแบบนี้ เพราะว่ามันเป็นแฟชั่นทุกวันนี้ หรืออย่างน้อยที่สุด เขาได้ลองทำดู หลาย ๆ คนได้ถูกติดกับ และตกลงในหลุมพรางอันนี้ (ดูข้อที่7 ภายใต้สิ่งพิมพ์ แบบใบปลิวฟรีของแถบเมนูข้าง ๆ) เงื่อนไขต่าง ๆ ที่อยู่เบื้องหลัง ของการเลือการดำเนินวิถีชีวิตเช่นนั้น เราจะไม่นำมาพูด ในเว็บไซต์นี้ มันสามารถที่จะถูกหยุดยั้งไว้ ถ้ากิจกรรมต่าง ๆ ของ RFSL ถูกจำกัดภายใต้การควบคุม และทำให้ผิดกฎหมาย เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมที่ดีงามนี้ ดังนั้น มันไว้ใจได้ที่จะพูดว่า ตอนเมื่อมีการค้นคว้าในปี ค.ศ. 1950 -1960s, การรักร่วมเพศยังคงเป็น สิ่งที่อัปยศอดสู และไม่มีใครที่ต้องการที่จะเลือก หรือแม้แต่ลองการดำเนินวิถีชีวิตเช่นนั้น ก็เหมือนกับไม่มีใครเลือก ที่จะเป็นขี้เหล้าเมายา ในการค้นคว้าของ Bieber นั้นมีไม่น้อยกว่า 106 คน ที่เป็นผู้ชายรักร่วมเพศ ที่ถูกวิจัยอย่างละเอียดต่อเนื่อง พร้อมด้วยกลุ่มผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม จำนวน 100 คน ที่อยู่ในกรอบของครอบครัว คำถามนั้น ๆ ก็เป็นแบบเดิม ๆ คือ ทำไมคน 106 คน ได้กลายเป็นพวกชายรักร่วมเพศ อะไรหรือที่เป็นภูมิหลังของเขาเหล่านั้น หรือว่าการอบรมให้โตขึ้นมา เป็นสาเหตุทำให้เขา มีลักษณะท่าทาง ที่ดึงดูดต่อผู้ชายคนอื่น ?

บทพิสูจน์เป็นที่น่าทึ่ง ในเรื่องที่ว่ามีเครื่องหมายธรรมดาอันหนึ่ง สำหรับการเบี่ยงเบนทางเพศของคน 106 คน ทั้งหมดนี้ Bieber และลูกทีมของเขา ได้ค้นพบว่า เขาทั้งหลายทั้งหมด ไม่มีการยกเว้นได้พ่อ ที่ขาดความรักใคร่ ในตัวเขา หรือไม่มีพ่อเลย ระหว่างการเจริญเติบโตของเขาเหล่านั้น ไม่มีใครเลยที่รู้สีกสนิทสนมกับพ่อของเขา

บางครั้ง แต่ไม่เสมอไป นี่เป็นการผสมผสาน กับความเกลียดชังที่มีต่อพ่อของเขา สำหรับเหตุผลที่หลากหลาย ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับผู้ชาย 106 คน เหล่านั้นมีประสบการณ์อย่างไร กับพ่อของเขา ไม่ใช่อีกด้านหนึ่ง ที่กลับกัน คุณพ่อบางคนอาจจะคิดไปว่า ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดีอยู่แล้ว และก็คงจะเชื่อว่า ได้มอบความรักใคร่ที่ลูก ๆ ต้องการแล้ว

การค้นคว้าได้ค้นพบสิ่งอื่นอีก :

“ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ที่ไม่สงบอย่างมากที่ไม่เคยว่างเว้น ความสัมพันธ์ของพ่อลูก ในครอบครัวที่รักร่วมเพศ.......ไม่มีจำนวนหนึ่ง ในพ่อที่มีลูกเป็นชายรักร่วมเพศ สามารถที่จะถูกกำหนดได้ว่า เป็นผู้ปกครองที่เป็นปกติและมีเหตุผล”

มันเป็นการน่าสนใจที่ว่าในกลุ่ม 100 คน ที่เป็นผู้ชายรักเพศตรงข้าม ที่อยู่ในกรอบของครอบครัว ไม่ทุกคนที่มีความสัมพันธ์ที่ดี กับพ่อของเขา มีจำนวน 37% ของคนกลุ่มเหล่านี้ ถึงกับสารภาพว่า เขาเกลียดพ่อของเขาเอง ในอีกด้านหนึ่ง ในกลุ่มของชายรักร่วมเพศ 63 คน (หรือ 59%) พูดว่าเขาเกลียดพ่อของเขา

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

3.  บทสรุปที่ควรถูกหยิบยกขึ้นมา (Conclusions to be drawn)

ก่อนอื่นเลย ผมพูดได้เลยว่า เป็นเพราะว่าความสัมพันธ์ของพ่อลูก ที่มีเครื่องหมายบ่งชี้ ที่มีปัญหาทั้งหมด 106 คน ที่เป็นชายรักร่วมเพศ ไม่ใช่หมายความว่า จะไม่มีการยกเว้นในกฏกติกา อย่างไรก็ดี มีหลักฐานที่ชัดเจนมาก ที่จะสรุปดังต่อไปนี้ :

ถ้าพ่อได้ผูกพันธ์อย่างรักใคร่ต่อลูกชายแล้ว ลูกชายคนนั้นไม่น่าจะ กลายเป็นคนรักร่วมเพศอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ถ้าพ่อไม่มีความผูกพันธ์ กับลูกชายของเขาแล้ว นั่นไม่น่าจจะเป็นสาเหตุ ที่นำลูกไปสู่การรักร่วมเพศ ทั้งหมดนี้ จำนวนประมาณ 37% ของผู้ชาย ที่รัชอบกับเพศตรงข้ามในจำนวน 100 คน ในการค้นคว้าครั้งนี้ ยืนยันว่าเขาเกลียดพ่อของเขา (เมื่อเปรียบเทียบกับ 59% ในกลุ่มของพวกเกย์) แต่กลุ่มชายที่เป็นเกย์ ด้วยเหตุผลบางประการ ขาดการผูกพันธ์กับพ่อของเขา

แต่อีกในหนี่ง : การขาดความผูกพันธ์ ความสัมพันธ์ของพ่อลูก เป็นสาเหตุที่จำเป็นของการ เป็นรักร่วมเพศ (แต่ไม่เป็นสาเหตุที่จำเป็นที่เพียงพอเสมอไป)

คิดดูให้ดี! เพราะฉะนั้น

คุณพ่อทั้งหลาย : คุณสามารถที่จะป้องกัน การเป็นชายรักร่วมเพศในตัวของลูกชายคุณ โดยการผูกพันธ์กับเขา! แต่ถ้าคุณไม่ผูกพันธ์กับลูกคุณแล้ว ลูกชายของคุณก็จะ ไม่จำเป็นที่จะถูกกำหนดว่า จะเป็นชายรักร่วมเพศ มันมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เข้ามาร่วมด้วยเช่นกัน ซึ่งเราจะดูถึงปัญหานี้ต่อไป

ไกลเกินกว่าผลลัพธ์ ที่สอดคล้องกันกับประเด็นถึง ความผูกพันธ์กันทางด้านอารมณ์ ที่อบอุ่นระหว่างพ่อลูก และความสัมพันธ์ด้านอื่น ๆ ที่แตกต่างกันไป ถึงแม้ว่าแนวความคิดนั้นคล้ายคลึงกัน นี่เป็นบางส่วน (จำนวนคนไม่ครบ 100% เพราะว่าผู้ชายไม่ครบทุกคน ที่สามารถตอบคำถาม จากคำถามทั้งหมด)

“H “ ระบุกำหนดถึง กลุ่มผู้ชายรักร่วมเพศ 106 คน “C “ ระบุถึงกลุ่มผู้ชายที่รักเพศตรงกันข้าม 100 คน ที่อยู่ในกรอบของครอบครัว

 

H

C

คนไข้ที่เป็นลูกคนโปรดของพ่อ

7

28

พี่น้องคนอื่น ๆ ที่เป็นลูกคนโปรดของพ่อ

59

36

คนไข้ที่รู้สึกว่า ได้รับการยอมรับของพ่อ

23

47

คนไข้ที่ตั้งใจเกลียดพ่อ

60

37

คนไข้ที่ยอมรับในตัวพ่อ

20

50

พ่อที่แสดงออกถึงความรักต่อคนไข้

25

51

พ่อมีความเคารพต่อคนไข้ น้อยกว่าพี่น้องคนอื่น

42

19

คนไข้รับมือกับพ่อได้ง่ายกว่าแม่

21

40

คนไข้ที่มองพ่ออย่างน่าเลื่อมใส

16

47

เพื่อที่จะแปล หรือชี้แจงตารางนี้อย่างถูกต้อง ขอให้เราหวนคิดกลับไปว่า เมื่อเด็กผู้ชาย ไม่มีความสัมพันธ์ ที่ใกล้ชิดกับพ่อของเขาแล้ว มันไม่ได้หมายความโดยอัตโนมัติว่า เขาจะกลายเป็นรักร่วมเพศ ที่จริงแล้วผู้ชายส่วนใหญ่ ผู้ซึ่งไม่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับพ่อ ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม ก็จะกลายเป็นผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม (โปรดจำไว้ว่า : ไม่สามารถที่จะมีความสัมพันธ์ อย่างใกล้ชิดกับพ่อ นี่จำเป็นแต่ไม่ใช่เงื่อนไขที่พอเพียง สำหรับเป็นผู้ชายรักร่วมเพศ) ดังนั้น มีปัจจัยอะไรอื่นอีก ที่แสดงให้เห็นถึง การตัดสินใจในการกำหนดเกี่ยวกับเรื่องเพศ? มีปัจจัยอื่นอะไรที่ ส่งเสริมผลลัพธ์ออกเป็นผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม

ตัวอย่างเช่น ให้ลองไปดูที่ประโยคคำถามที่ 6 (“พ่อแสดงออกถึงความรักใคร่กับคนไข้”) ในหมู่ผู้ชายที่รักร่วมเพศประมาณ 25% ได้มีประสบการณ์ความรักใคร่เช่นนี้ นั่นไม่ได้ขัดขวางพวกเขา ให้กลายเป็นผู้ชายรักร่วมเพศ เนื่องจากพวกเขา ไม่มีความรู้สึกสัมพันธ์ใกล้ชิด กับพ่อของเขา ถึงแม้ว่าพวกเขา เคยมีประสบการณ์แสดงออก ถึงความรักใคร่ แต่ประมาณ 2 เท่าที่มากกว่า (51 ของ 100) ในกลุ่มที่ควบคุมของผู้ชาย ที่รักเพศตรงข้าม ได้มีประสบการณ์ จากความรักใคร่เช่นนั้น แน่นอน ถึงแม้ว่าลูกชายล้มเหลว ที่จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพ่อของเขา การแสดงออก ถึงความักใคร่ของพ่อ ส่งเสริมให้ผลลัพธ์ออกมา เป็นผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม

ดังนั้น บนพื้นฐานของตารางนี้ เราสรุปได้ว่าปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ถึงแม้ว่าลูกผู้ชายล้มเหลว ในความสัมพันธ์ อย่างใกล้ชิดกับพ่อ ส่งเสริมผลลัพธ์ที่ออกมา เป็นผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม

1.    เป็นลูกคนที่โปรดปรานของพ่อ (ถึงแม้ว่ามัน ไม่ใช่ความถูกต้องในตัวของมันเอง สำหรับผู้ปกครอง ที่จะมีลูกที่โปรดปราน)

2.    มีความรู้สึกที่ถูกยอมรับจากพ่อ

3.    ต้องให้แน่ใจว่า ลูกชายจะไม่เกลียดพ่อของเขา (สังเกตุว่าประมาณ 37% ในกลุ่มของผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม เกลียดชังพ่อของเขา และถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม ก็กลายเป็นผู้ชายที่ รักเพศตรงข้ามอยู่ดี)

4.    ต้องให้แน่ใจว่า ลูกผู้ชายยอมรับพ่อของเขา

5.    ผู้เป็นพ่อแสดงออกถึง ความรักใคร่ต่อลูกชายของเขา

6.    ผู้เป็นพ่อมีความเคารพต่อลูกชายของเขา มากเท่ากับลูกผู้ชายที่เป็นพี่หรือน้องคนอื่น ๆ

7.    ผู้ที่เป็นลูกผู้ชายสามารถรับมือกับ พ่อของเขาอย่างง่ายดาย มากกว่ากับแม่ของเขา

8.    ผู้เป็นลูกจะคำนึงถึง พ่อของเขาอย่างน่าศรัทธาเลื่อมใส

ในหลักเกณฑ์ ของความสัมพันธ์ เกี่ยวกับเครือญาตินี้ โดยทั่ว ๆ ไป เป็นผลที่เกิดขึ้นภายหลัง ตามธรรมชาติของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด แต่ในบางเหตุการณ์ ที่ความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดไม่เกิดขึ้น หลักเกณฑ์ที่สำรองเหล่านี้ จะช่วยระดับของผลลัพธ์ออกมา เป็นผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม น่าเศร้าที่สุด ที่ผู้เป็นพ่อที่มีลูกชายที่ล้มเหลว ในการพัฒนาเอกลักษณ์ของความเป็นผู้ชาย ไม่เคยได้มีเบาะแสเงื่อนงำเลย ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับลูกชาย พ่อต้องใช้เวลาอันมาก และกำลังความสามารถเพื่องานนี้ (อาจจะเนื่องด้วยต้องเลี้ยงดูครอบครัวใหญ่) ซึ่งคุณพ่อเหล่านั้น มีเวลาน้อยนิดหรือไม่มีเวลาเลย ที่จะให้ลูกชายที่ไม่มั่นคงคนนั้นโดยเฉพาะ ในเวลานั้น มีคุณพ่อเหล่านั้น ผู้ซึ่งชอบออกไปตีกอล์ฟ ในเวลาว่างของเขา มากกว่าที่ชอบพาลูกชาย ไปตกปลา เราจะมาสนทนากันอีก ข้างล่างนี้ว่า ทำไมเด็กผู้ชายถึงได้ล้มเหลว ในการหาเอกลักษณ์ทางเพศ ที่เป็นผู้ชายเมื่อยังเยาว์วัย จึงเป็นรากฐานสาเหตุของการเป็นผู้ชายรักร่วมเพศ

แต่ข้อแรกเลยเราลองมาดูกันซิว่า ทำไมการค้นคว้านี้ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการเป็นชายรักร่วมเพศ ไม่ได้สืบมาจากกรรมพันธุ์ ถ้าสมมุติว่ามันสืบทอดมาจากกรรมพันธ์ จริงแล้วมันจะมีผู้ชายจำนวนมาก ในกลุ่มของชายรักร่วมเพศกลุ่ม ( “H”) ผู้ซึ่งเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ได้ประสบการณ์ความผูกพันธ์ อย่างรักใคร่กับพ่อของเขา

ดังนั้น ผมขอรวบรัดดังต่อไปนี้ :

ถ้าคุณพ่อได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางอารมณ์ ความรู้สึกที่อบอุ่น ในการพัฒนาการ ในตัวของลูก และลูกชายของเขา ก็มีความผูกพันธ์ต่อพ่อของตนเองเ มื่อเยาว์วัยแล้ว ความเป็นไปได้ก็จะเกือบ 100% ที่ลูกชายจะแสดงผลออกมา เป็นผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม

ผมจะอธิบายข้างล่างนี้ (ข้อ 5) ว่าทำไมความเชื่อมโยงอันเหนียวแน่นนี้ ยังคงปรากฏอยู่ แต่ขอให้ผมพูดในที่นี้ว่า หัวใจของผมหลั่งเลือดเพื่อเด็กตัวเล็ก ๆ เหล่านั้นที่ขาดผู้ชาย ที่เป็นต้นแบบที่ดี ในชีวิตของเขา และเลือดของผมก็เดือดพล่าน เมื่อผมได้เห็นเด็ก ๆ เหล่านั้น ถูกสืบหามาได้อย่างไม่ปราณี จากองค์กรของ RFSL ในการพยายามที่จะสรรหาสมาชิก ให้มากเท่าที่จะมากได้ให้เข้ามาเป็นพวกเขา

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

4.  การเดินพาเหรดของชาวเกย์ ที่น่าอับอายและอัปยศ (The Parade of shame)

วันที่ 5 มิถุนายน 2002 เป็นวันที่เป็นเวรเป็นกรรม ของคุณแม่ทั้งหลาย และเด็กที่กำพร้าพ่อ ในประเทศสวีเดน ในวันนี้รัฐสภาของสวีเดน ได้ลงมติผ่านร่างกฏหมาย ที่เปิดไฟเขียว ให้คู่รักร่วมเพศ สามารถอุปถัมภ์เด็ก เป็นบุตรบุญธรรมได้ คะแนนเสียงที่ออกมา 198 เสียงเห็นชอบ และ 38 เสียงไม่เห็นด้วย คำถามมีอยู่ว่า ทำไมคนที่มีความรับผิดชอบ และคนที่มีหลักจริยธรรม จงใจที่กีดกันเด็กกำพร้า ให้มีพ่อแม่ ในเมื่อมีคนรักเพศตรงข้าม ทั้งชายหญิงเป็นจำนวนมาก ที่ไม่มีลูกใฝ่ฝันที่จะ อุปการะเด็กกำพร้า? เราได้มาถึงจุดนี้ ในประวัติศาสตร์ของเรา เราได้แสดงถึงการดูแลอย่างพิถีพิถัน เพื่อการอยู่ดีกินดีของ ลูกหลานตัวเล็ก ๆ ของเรา มากกว่าสิ่งอื่นใด มันแสดงให้เห็นระดับที่ว่า นักการเมืองของเรา ได้ก้มหัวเอื้ออำนวย ให้กับกลุ่มนักวิ่งเต้น ล๊อบบี้ของพวกชายรักร่วมเพศ พวกชายและหญิงเหล่านี้ จะได้รอการตัดสินอย่างไรจากพระเจ้า?

นี่แสดงให้เห็นถึง การเดินพาเหรดของพวกเกย์ ที่น่าขายหน้าและอัปยศ เมื่อรัฐสภาของสวีเดน ลงมติในญัตติต่อปัญหานี้ 2001/02:123 (อ้างอิง ref.17)

ญัตติ 2001/02:123

LU27 ความสัมพันธ์ ที่เป็นหุ้นส่วนกัน การอุปถัมภ์เลี้ยงเป็นลูก ฯลฯ

ข้อที่ 1 (การปฏิเสธญัตติ ซึ่งเกี่ยวกับการอุปการะเด็ก เป็นลูกบุญธรรม และการเป็นผู้ปกครอง)

1.  ข้อเสอนญัตติ

2.  การสงวนรักษาไว้ (Kd)

ลงมติ :

198 ลงมติเห็นชอบด้วยกับข้อเสนอ

38 ลงมติเห็นชอบด้วย กับการสงวนรักษาไว้

71 ลงมติงดออกเสียง

42 ขาดการประชุม

รัฐสภาได้ผ่านข้อเสนอเช่นนี้

การกระจายคะแนนเสียงที่ลงมติ :

เห็นชอบด้วยกับข้อเสนอ: 118 จากพรรคสังคมประชาธิปไตย (118 Social Democrats), 9 จากพรรคที่เป็นกลาง (9 LModerates), 34 จากพรรคฝ่ายซ้ายสังคมนิยม (34 Left Party), 12 จากพรรคศูนย์กลางทางการเมือง (12 Center Party, 15 จากพรรครักษ์สิ่งแวดล้อม (15 Environment Party), 9 จากพรรคประชาชน (9 People’s Party)

เห็นชอบด้วยกับการสงวนรักษาไว้: 1 เสียงจากพรรคที่เป็นกลาง (1 Moderate), 37 เสียงจากพรรคคริสเตียนประชาธิปไตย (37 Christian Democrats)

ไม่ลงคะแนนเสียง: 60 จากพรรคที่เป็นกลาง (60 Moderates), 4 จากพรรคศูนย์กลางทางการเมือง (4 Center Party), 6 จากพรรคประชาชน (6 People’s Party)

ขาดการประชุม: 13 จากพรรคสังคมประชาธิปไตย (13 Social Democrats), 11 จากพรรคที่เป็นกลาง (11 Moderates), 9 จากพรรคฝ่ายซ้ายสังคมนิยม (9 Left Party), 5 จากพรรคคริสเตียนประชาธิปไตย (5 Christian Democrats), 2 จากพรรคศูนย์กลางทางการเมือง (2 Center Pary), 1 จากพรรครักษ์สิ่งแวดล้อม (1 Environment Party), 1 จากพรรคประชาชน (1 People’s Party)

คุณ Anne-Katrine Dunker (m) และคุณ Runar Patriksson (fp) ท้วงติงไว้ว่าเขาทั้ง 2 คน ตั้งใจที่จะงดออกเสียง แต่ได้ทำเครื่องหมายว่า “รับ”

อย่างที่เราได้เห็น จากป้ายลงคะแนน อย่างเป็นทางการแล้ว มีเพียง 37 คน ที่เป็นสมาชิกรัฐสภา จากพรรค คริสเตียนประชาธิปไตย ที่ได้คัดค้านการอุปการะเด็ก ของพวกชายรักร่วมเพศ ขอให้เป็นเกียรติอย่างยิ่งกับพวกเขา “พรรคที่เป็นกลาง” ที่แท้จริงแล้วไม่ต้องการที่จะ ให้มีการอนุญาติให้พวกเกย์ ได้รับการอุปการะลูกบุญธรรม โดยตัวของมันเองในการลงมติครั้งนี้ แต่ได้อนุญาต ให้พวกเกย์มีสิทธิ์ เป็นผู้ปกครองลูกหลานของเราได้ นี่เป็นฐานะที่น่ากังขา ลองคิดดูซิ ! มีหรือที่ “พรรคที่เป็นกลาง” และสมาชิกรับสภาของพรรคนี้ จะอนุญาตให้พวกเกย์ เป็นผู้ปกครองลูกหลานของเขา?

ลองคิดตามดูนะ ถ้าเป็นลูกชายของคุณเองบ้างล่ะ! ถ้าตัวคุณเอง อาจจะเป็นสถานการณ์ ที่นอกเหนือการควบคุม ที่คุณจำต้องให้คนอื่น ที่คุณไม่รู้จักดูแลลูกชายคุณ และถ้าคุณสามารถที่จะ เลือกคนที่เป็นสามีภรรยา ที่มีการแต่งงานกัน แบบปกติมาดูแลลูกชายคุณ และอีกด้านหนึ่งให้ผู้ชายเกย์คู่หนึ่ง มาดูแลลูกชายคุณ คุณจะเลือกอย่างไร? เมื่อคุณได้คิดอย่างจริงจัง เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในวันที่เป็นเวรเป็นกรม (วันที่ 5 มิถุนายน 2002) คุณจะรู้ได้ทันทีเลยว่า ไม่ได้ไตร่ตรองและเป็นการกระทำ ที่เมินเฉยต่อเด็กตัวเล็ก ๆ ที่อ่อนแอที่สุดของพวกเรา โดยพรรคการเมืองทั้งหมด ในรัฐสภาของเรา ยกเว้นแต่พรรคริสเตียนประชาธิปไตย เพียงพรรคเดียวเท่านั้น พวกสมาชิกรัฐสภาคนอื่น ๆ จะอยู่ร่วมกันเองได้อย่างไร? ให้พวกเขาช่วยส่องกระจกดูทุกวัน เพื่อให้พวกเขาตระหนักว่า เขาทั้งหลายได้ขายลูกหลานของเรา ที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้

ประวัติศาสตร์นิติบัญญติของกฏหมายที่น่ารังเกียจนี้

เมื่อพรรคการเมือง พรรคสังคมประชาธิปไตย (Social Democrats) (ที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภา) ได้ลงคะแนนเสียงกันอย่างลับ ๆ เพื่อหยั่งดูว่าจะ ลงคะแนนเสียงกันอย่างไร ในรัฐสภา พวกที่ต้องการที่จะ ให้มติผ่านรัฐสภาชนะ แค่หนึ่งเสียงเท่านั้น พวกที่ต่อต้านต่อมตินี้ขาดไปแค่หนึ่งเสียง นั่นบอกเป็นนัยว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตย เชื่อว่ามันเป็นผลประโยชน์ที่ดีที่สุด สำหรับเด็กกำพร้าที่มีทั้งพ่อแม่ ให้การอุปการะเลี้ยงดูเขา ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นก็ตาม ตอนที่พวกเขาลงมติในรัฐสภา ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว ที่จะลงมติตามสติสัมปชัญญะของพวกเขา ถ้าพวกเขาลงมติตามสติ รู้ผิดชอบที่บอกให้ทำแล้ว เขาก็จะสูญเสียการงาน รายได้และสิทธิพิเศษ ที่สุขสบายทั้งหมดไป ในฐานะของสมาชิกรัฐสภา พูดง่าย ๆ ว่า ผลประโยชน์ ทางด้านการเงินของพวกเขา เป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่า การกินดีอยู่ดีของพวกเด็กกำพร้า

ควรให้การสังเกตุไว้ว่าองค์การใหญ่ ๆ ดังต่อไปนี้ ที่มีความชำนาญ เชี่ยวชาญต่อการกินดีอยู่ดี ของพวกเด็ก ๆ ได้แสดงความคิดเห็นคัดค้านอย่างจริงจัง ต่อข้อเสนอให้พวกเกย์อุปการะ รับลูกบุญธรรม : ชื่อว่า องค์กรช่วยเหลือเด็ก (sw: Radda Barnen), องค์กรของเด็กที่ตั้งขึ้น โดยสมาชิกคณะกรรมการ ป้องกันปราบปรามการทุจริต ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ (sw: Barnombudsmannen), องค์กรเครือข่ายการรับบุตรบุญธรรม (sw: Natverket for Adoptionsorganisationer)

นอกจากนี้ ได้มีการต่อต้านคัดค้าน การอุปการะเด็กกำพร้าของพวกเกย์ ซึ่งได้แสดงความคิดเห็น จากองค์การต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ : กระทรวงสังคมแห่งชาติ, คณะกรรมการการอุปถัมภ์ เด็กนานาชาติแห่งชาติ, สมาคมแพทย์แห่งสวีเดน, สมาคมจิตวิทยาแห่งสวีเดน, นักสังคมวิทยาเพื่อความยุติธรรมในครอบครัว, สมาคมที่ปรึกษาครอบครัวแห่งชาติ, AFO องค์กรอุปการเด็กและอุปถัมภ์เด็ก, องค์กรรับอุปการะเด็ก จากประเทศเกาหลี, สภาอุปถัมภ์เด็ก, องค์กรครอบครัว เพื่อการอุปการะเด็กนานาชาติ, องค์กรช่วยเด็กอ่อน, องค์กรเพื่อความยุติธรรมต่อเด็กแห่งชาติ, องค์กรเลขานุการ เพื่อความยุติธรรมของครอบครัว, ศูนย์ที่ปรึกษาเพื่อการอุปการะเด็ก, องค์กรเครือข่ายความคิดเป็น ของเด็กที่ถูกอุปการะ, องค์กรเพื่อนของเด็ก

ในสวีเดนยังมีชื่อองค์กรต่าง ๆ อีกมากมาย ที่ต่อต้านและไม่เห็นด้วย ที่พวกเกย์สามารถที่จะ อุปการะเด็กกำพร้าเป็นบุตรบุญธรรมได้ องค์กรทั้งหมดและผู้เชี่ยวชาญ ได้ต่อต้านคัดค้านกฎหมาย ที่ได้ผ่านการลงมติในรัฐสภา เพื่อให้พวกเกย์สามารถอุปการะ เด็กกำพร้าเป็นบุตรบุญธรรมได้

ตัวอย่าง สมาคมจิตวิทยาของสวีเดน ได้ออกความเห็นไว้ดังต่อไปนี้ :

“ข้อเสนอให้เกย์รับบุตรบุญธรรมได้นั้น ตั้งอยู่บนมูลฐานที่คนทั่วโลกมองว่า เด็กเป็นผู้ที่อยู่รอบนอก และผู้ปกครองคือจุดศูนย์กลาง เนื้อหาของการเสอนญัตติ แสดงให้เห็นถึ การขาดความเข้าใจอย่างรุนแรง ต่อความต้องการของเด็ก”

และในการให้สัมภาษณ์ ในหนังสือพิมพ์ชื่อ โลกทุกวันนี้ (sw: Varlden Idag) (ในวันที่ ref.18) พฤษภาคม 2005 Mr. Lars Ahlin ซึ่งเป็นประธานของ สมาคมจิตวิทยาแห่งสวีเดน ได้แสดงความคิดเห็น ต่อการโต้ตอบที่รุนแรง ที่ยืนคัดค้านโดยองค์กรของเขา “ปกติเราไม่แสดงความคิดเห็ นของพวกเราไปในทางนี้ ถ้าเราไม่เชื่อว่า มันเป็นการเสนอญัตติ ที่บกพร่องอย่างมาก การขาดความรู้ว่า เด็กจะถูกผลกระทบอย่างไร โดยที่ถูกรับเลี้ยงดูจากผู้ปกครอง 2 คน ที่เป็นเพศเดียวกัน เป็นปัญหาใหญ่มาก เราได้เลือกที่จะ สันนิษฐานในมุมมองของเด็ก เพราะไม่มีหรือขาดความรู้ที่เพียงพอ ในการวิจัยค้นคว้า ที่มีมูลฐานอยู่บนความชัดเจน แน่นอนว่ามันเป็นหลักศีลธรรม ที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก แต่เราจะต้องไม่เอาพวกเด็ก ๆ มาเป็นตัวทดลอง ถ้าเราได้รู้อย่างแน่ใจแล้วว่า เด็ก ๆ จะไม่ถูกเป็นเป้า ต่อการเสี่ยงที่ไม่จำเป็น มันก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เด็ก ๆไม่สามารถที่จะ ลุกขึ้นพูดเพื่อตัวเขาเอง

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

5.  ผู้เป็นพ่อควรมีบทบาทที่มากขึ้น (More about the father’s role)

พวกเรากลับไปดูปัญหาว่า ทำไมมันสำคัญอย่างยิ่ง ที่ผู้เป็นพ่อต้องต่อสู้ใ นการพัฒนาทางด้านอารมณ์ ในบุตรของตน

เคยมีคนพูดไว้ว่า แม่ผลิตเด็กผู้ชายแต่พ่อผลิตชายเต็มตัว ตั้งแต่เริ่มแรกในเยาว์วัย เด็กจะเริ่มรู้ว่า โลกนี้ถูกแบ่งออกเป็นธรรมชาติ ที่ตรงข้ามกันคือ เด็กหญิง – เด็กชาย, ผู้ชาย – ผู้หญิง ในขณะนั้นเด็กยังไม่สามารถสังเกตุ ถึงความแตกต่าง เขาต้องตัดสินใจว่า เขาจะอยู่ฝ่ายไหน ในโลกของการมีเพศที่แตกต่าง เด็กผู้หญิงมีหน้าที่ ที่ง่ายกว่ามาก ความผูกพันธ์ขั้นต้น ก็เป็นแม่ของเธอนั่นเอง ดังนั้นเด็กผู้หญิง ไม่จำเป็นต้องผ่านขั้นตอน ภาระหน้าที่ที่ตามมาที่ต้อง “จำแนกพวก” จากบุคคลที่ใกล้ชิดเธอที่สุด ก็คือ แม่นั่นเอง ที่กลายมาเป็นจำแนกเพศกับพ่อของตน แต่สำหรับเด็กผู้ชาย การตัดสินใจนั้นแตกต่างกัน เขาจะต้องถูกแยกออกมา จากแม่และเติบโตขี้น ที่แตกต่างจากผู้ที่ เขารักตั้งแต่ต้น ถ้าเขาจะมีโอกาสสักวันหนึ่ง ที่จะ กลายมาเป็นชายที่ รักผู้หญิงเพศตรงข้าม นี่เป็นคำอธิบายว่า ทำไมมีชายรักร่วมเพศ มากกว่าผู้หญิงรักร่วมเพศ ภาระหน้าที่อันแรก ในการพัฒนาการเป็นผู้ชาย ก็คือไม่พัฒนาเป็นผู้หญิง

นี่เป็นภาระหน้าที่ ที่ยิ่งใหญ่และ ที่สำคัญผู้ที่เป็นพ่อ และถ้าไม่มีพ่ออยู่ คนอื่นที่เป็นผู้ชาย จะต้องเติมบทบาทให้เต็ม มันเป็นการสำคัญอย่างมาก เพราะว่าเด็กผู้ชายเล็ก ๆ ต้องการความช่วยเหลือตลอดเวลา และได้รับการสนับสนุน ในการพัฒนาให้เป็นผู้ชาย ผู้เป็นพ่อต้องทำให้เขาเข้าใจว่า วันหนึ่งเขาจะโตขึ้นเหมือนกับพ่อ ตัวอย่างเช่น เด็กตัวเล็ก ๆ และพ่อของเขาควรที่จะ อาบน้ำร่วมกัน เพื่อว่าเด็กจะได้ค้นพบว่า เขาและพ่อ มีอะไรที่คล้ายกัน และวันหนึ่ง เขาจะโตขึ้นมา ตามแบบของพ่อ และให้เขารู้ว่า เขาถูกสร้างขึ้นมาในทางนี้ และไม่สามารถที่จะ เปลี่ยนแปลงได้ นี่ก็หมายความว่า ลูกชายจะพัฒนาความมั่นใจ ในผู้เป็นพ่อของเขา ผู้เป็นพ่อกลายเป็นตัวอย่าง ที่ลูกจะต้องเลียนแบบ ผู้เป็นแม่จะต้องค่อย ๆ ลดบทบาท อิทธิพลในลูกชายของเธอ เริ่มตั้งแต่ลูก 2 ขวบ ผู้เป็นพ่อต้องแสดงออกถึง ความอบอุ่นและรู้สึกเป็นห่วงต่อลูกชาย โดยไม่ลังเลที่จะกอดลูก บางคนพูดว่าถ้าเด็กชาย ไม่เคยถูกพ่อของเขากอด ชายคนอื่นอาจจะกอดเขาก็ได้ (ในทางที่แตกต่างกันตอนที่เขาโตแล้ว) ถ้าการพัฒนาการตามธรรมชาติ และจำเป็นนี้ไม่ได้ถูกสนับสนุน เด็กผู้ชายอาจจะทนทุกข์จาก “โรคการจำแนกเพศบกพร่อง” (Gender Identity Disorder - GID) ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกก่อนจะมาเป็นเด็กชายรักร่วมเพศ

กรุณาสังเกตุว่า

5:1  อย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าเด็กผู้ชายทั้งหมด ที่ขาดความอบอุ่นจากพ่อแล้ว จะมีปัญหาเกี่ยวกับการจำแนกเพศ แต่เด็กผู้ชายที่ได้รับความอบอุ่น ทางด้านจิตอารมณ์ของพ่อ ที่ได้รับการสนับสนุนจากพ่อ จะไม่มีปัญหา เกี่ยวกับการจำแนกเพศตัวเอง

5:2  ปัญหาของการจำแนกเพศ บ่อยครั้งจะเป็นกับเด็กผู้ชาย ที่มีภาวะจิตใจที่อ่อนไหว มากกว่าเด็กธรรมดาทั่วไป เด็กเหล่านี้เป็นเด็กที่ ไม่มั่นคงกว่าคนอื่น โดยเฉพาะถ้าเด็กเรียนรู้ว่า พ่อของตนปฏิเสธเขา แทนที่จะสนับสนุนเขา เหตุการณ์แบบนี้อาจจะ เกิดขึ้นอีกง่ายมาก ตัวอย่างเช่น ถ้าเด็กผู้ชายที่มีความสามารถพิเศษ และพรสวรรค์มากกว่าผู้เป็นพ่อ และพี่ชายตนเอง ผู้เป็นพ่ออาจจะสนใจ ในการกีฬา และได้เคยพาเด็กผู้ชาย ที่มีอายุมากกว่า ที่เขาชอบที่จะ พากันไปเล่นฟุตบอล หรือดูเกมส์ฟุตบอล ถ้าสมมุติว่า ลูกคนที่สาม หรือคนที่สี่ มีความสนใจ และมีพรสวรรค์ ในศิลปะหรือการดนตรี มันจะทำให้ผู้เป็นพ่อละทิ้ง หรือเมินเฉยต่อลูกคนเล็กอย่างง่ายดาย และพลาดที่จะให้การสนับสนุน ในสิ่งที่เด็กกำลังสนใจ ผู้เป็นพ่อควรที่จะ ต้องใช้เวลาในการให้ความสนใจ ต่อลูกคนเล็กนี้ และสนับสนุนในสิ่งที่ เขาสนใจ และสิ่งที่เขามีความสามารถและสนับสนุน ให้เด็กได้มีโอกาส ได้พบปะกับเด็กคนอื่น ที่มีความสนใจที่เหมือนกัน ดังนั้นเขาก็จะกลายเป็น “หนึ่งในเด็กจำนวนนั้น” เด็กผู้ชายจะต้องไม่กลายเป็น “ลูกรักของแม่” ที่อยู่ภายใต้การดูแลของแม่ตลอดเวลา สรุปแล้ว : ผู้เป็นพ่อควรที่จะ ช่วยพัฒนาให้ลูกชาย เป็นผู้ชายในทางที่สร้างความเชื่อมั่น เคารพต่อกัน และให้ความรักซึ่งกันและกัน ทั้งหมดทั้งปวงนี้เพื่อที่จะ ให้แน่ใจว่าเด็กผู้ชายคนนี้ ในวันข้างหน้าจะ ต้องการที่จะเป็นเหมือนพ่อของเขา

ปัญหาเกี่ยวกับการจำแนกเพศ มีหลาย ๆ แบบ ในระดับที่แตกต่างกัน ในเหตุการณ์ที่สุดโต่ง ที่เรียกว่า “โรคจำแนกเพศบกพร่อง” (GID) เด็กผู้ชายเริ่มต้นด้วยการ เล่นตุ๊กตาของพี่สาว แต่งตัวแบบเด็กผู้หญิง ฯลฯ มันเป็นการสำคัญมาก ที่ผู้ปกครองผู้เป็นพ่อแม่ เห็นพ้องต้องกัน ที่จะหยุดความประพฤติเช่นนี้ แบบนุ่มนวล และอย่าปฏิเสธกับเขา แบบขวานผ่าซาก หรือพยายามล้อเลียนเขา แต่ในเหตุการณ์ที่ไม่รุนแรง ที่ผมเห็นกันทั่วไป ของความประพฤติแบบนี้ ซึ่งถูกอ้างอิงถึงว่า “การขัดแย้งกันทางเรื่องของเพศ” หรือ “การสับสนเรื่องเพศ” แต่เด็กผู้ชายที่สับสนเรื่องเพศ ส่วนมากจะเป็นกลุ่มเสี่ยง ที่จะเป็น “พวกชายรักร่วมเพศ” เด็กผู้ชายเหล่านี้ จะรู้สีกในเวลาต่อมาว่า เขาไม่เหมือนเด็กชายคนอื่น ๆ เขาอาจจะถูกแบ่งแยกออกไป หรือถูกล้อเลียน โดยกลุ่มเด็กผู้ชายอื่น ๆ ที่เขาทำตัวแบบผู้หญิง ทั้งหมดนี้จะตอกย้ำมากขึ้นว่า เขาแตกต่างจากคนอื่น โอ้! เด็กคนนี้เข้าตาจน ที่ต้องการผู้ชาย ที่สามารถให้ความมั่นใจต่อเขาว่า เขาก็เหมือนเด็กผู้ชายทั่ว ๆ ไป และเขาก็จะเติบโตเป็นเหมือนผู้ชายทั่วไป ผมหวังว่าผู้ชายทุกคนทราบถึงความต้องการนี้ ไม่ใช่ลูกชายตนเองในครอบครัวเท่านั้น แต่กับเด็กที่มีปัญหา และไม่มั่นคงที่ไม่มีพ่อ และเขาทั้งหลาย จะต้องทำทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ทำได้เพื่อป้องกันเงื้อมือของพวก RFSL ที่จะคืบคลานไปหาเด็กเหล่านี้

ถ้าปราศจากความช่วยเหลือแล้ว “เด็กที่เริ่มเป็นคนรักร่วมเพศ” จะรู้สึกผ่อนคลายและมั่นคงมากกว่า ตอนที่อยู่ท่ามกลางของเด็กผู้หญิง แต่ข้างในของเขาสับสน ในทางด้านหนึ่งเขาหวังว่า เขาจะเหมือนกับเด็กผู้ชายคนอื่น แต่เชื่อว่านั่นมันเป็นไปไม่ได้ และตอนที่วัยหนุ่มสาว เริ่มเข้ามาภาพก็เปลี่ยนไป การกระตุ้นกำหนัดทางกาม ต้องเป็นสิ่งที่แตกต่างไป จากตัวเขาเองเสมอ และถ้าเด็กผู้ชายคนนี้ คบเพื่อนเด็กผู้หญิงมากกว่า ตอนเจริญเติบโตขึ้นมา และรู้สึกแปลก ๆ ในท่ามกลางของเด็กผู้ชาย ดังนั้นการดึงดูดทางเรื่องเพศสัมพันธ์ ก็จะมีต่อผู้ชายนั่นเอง พวกล๊อบบี้ชายรักร่วมเพศ ชอบโต้แย้งว่า เขาให้ความสงเคราะห์ต่อเด็ก ที่เริ่มเป็นรักร่วมเพศ โดยให้การปลอบโยน ที่พวกเขาเรียกว่า ขณะที่กำลังพัฒนาสิ่ง ที่มีมาตั้งแต่เกิด การเป็นตัวตนของรักร่วมเพศ มีมาตั้งแต่เกิด แต่มันขึ้นอยู่กับคุณซึ่งเป็นพ่อแม่ ปู่ย่าตายายที่จะ ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น แต่คุณต้องเชื่อก่อนว่า การรักร่วมเพศไม่ใช่ ย้ำไม่ใช่ สิ่งที่อยู่ในพันธุกรรมมาตั้งแต่เกิด คุณต้องอ่านเรื่อง ที่ถูกปกปิดเรื่องที่ 3 ข้างล่างนี้

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

6.  บทบาททั่วไปของผู้เป็นพ่อแม่ (The common role of both parents)

ปัจจัจยสำคัญที่สุด อย่างที่สอง ในการป้องกัน การเป็นคนรักร่วมเพศ ในบุตรหลานของคุณ ที่เป็นเด็กหญิง – เด็กชาย ก็คือการป้องกันพวกเด็ก จากพวกนักล่าเหยื่อทางเพศ (ปัจจัยสำคัญที่สุดคือผู้ชาย ที่เป็นต้นแบบให้คนอื่นทำตาม) การละเมิดทางเพศเด็กและเยาวชน กำลังมีสถิติที่สูงขึ้น ในการค้นคว้าวิจัยอย่างต่อเนื่อง ในปี ค.ศ. 1985 จัดทำโดยหนังสือพิมพ์ Los Angles Times กับผู้ใหญ่ทั้งหมด 2,682 คน 16% ของผู้ชายทั้งหมด และจำนวนใหญ่มาก 27% ของผู้หญิงทั้งหมด อ้างไว้ว่าถูกละเมิดทางเพศตอนเป็นเด็ก การร่วมเพศกันระหว่างพี่น้อง ไม่ได้ทำให้มีบาดแผล ทางร่างกายเท่านั้น บาดแผลทางด้านอารมณ์ เป็นสิ่งที่แย่ลงไปกว่า การร่วมเพศกัน ระหว่างคนในครอบครัว เป็นต้นเหตุสำคัญ ของการพัฒนาการรักร่วมเพศ เด็กคนใดก็ตาม ที่ถูกละเมิดทางเพศจะป็น 7 เท่า โดยประมาณที่จะ กลายเป็นคนรักร่วมเพศ และนี่ก็เป็นความจริง เหมือนกันกับเด็กผู้หญิง เด็กที่ถูกละเมิดทางเพศ เมื่อเติบโตขึ้น จะกลายเป็นผู้ละเมิดทางเพศ ด้วยตัวเขาเอง อย่างที่มีคนพูดไว้ว่า “ทำให้มันเจ็บปวด”

เด็กผู้โชคร้ายนี้ ต้องการการดูแลเอาใจใส่ อย่างพิเศษจากพ่อแม่ เพื่อที่เยียวยารักษาบาดแผล ที่ฝังอยู่ในอารมณ์ น่าเศร้าเพราะเด็กพวกนี้ส่วนมาก มาจากครอบครัวที่แตกแยก ซึ่งเป็นเด็กที่อ่อนแอ ไม่มั่นคงจากเหตุผลหลาย ๆ อย่าง มันไม่ใช่เพียงแค่ผู้ชายเสมอไป ที่กระทำผิดต่อเด็ก เด็กที่มีอายุมากกว่า หรือวัยรุ่นหลาย ๆ คน ที่ประสบกับการถูกละเมิดทางเพศด้วยตัวเอง อาจจะกระทำสิ่งเหล่านี้ได้ ดังนั้นสังคมปัจจุบัน ที่ขาดศีลธรรม ด้วยการเพ่งเล็งอย่างจริงใจ ในทุกสิ่งทุกอย่าง กับเรื่องเพศสัมพันธ์ และการยอมรับการเบี่ยงเบน อย่างแพร่หลาย คุณควรที่จะระวังว่า ลูกคุณอยู่กับบุคคลประเภทใด ตอนที่คุณไม่อยู่ที่นั่น ทั้งพ่อและแม่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ในการมีบทบาทในที่นี้

ปัจจัยที่สำคัญที่สุด อย่างที่สาม ในการป้องกันบุตรหลานท่าน ให้กลายเป็นคนรักร่วมเพศก็คือ ความสัมพันธ์ และมีกิจกรรมร่วมกันของผู้ปกครอง พ่อแม่ที่รักกัน และมีความสัมพันธ์ ที่มีความสุข เป็นยาป้องกันที่ดี ต่อการเริ่มต้นของการพัฒนาการ ของการรักร่วมเพศ โดยเฉพาะสำหรับลูกชาย ผู้เป็นพ่อที่ปฏิบัติต่อภรรยาของเขา จะทำให้เกิดความประทับใจ ที่ลบไม่ออกในตัวเด็ก เด็กจะเห็นแล้ว ก็เรียนรู้ไปในตัว ในขณะที่เจริญเติบโตขึ้นมา และรู้ว่ามันเป็นยังไง และมันมีจุดประสงค์อย่างไร ผู้เป็นแม่ควรให้ความเคารพผู้เป็นสามี และสนับสนุนให้บุตรชาย “ไปหาพ่อ” เมื่อเด็กมีปัญหาสำคัญ หรือต้องการคำตอบ ผู้เป็นแม่ต้อง “ปล่อย” บุตรชายเมื่อยังเยาว์วัย แม่ต้องทำลาย ความผูกพันธ์กับตัวเอง และให้ลูกชายเริ่มผูกพันธ์กับ ผู้เป็นพ่อแทน นี่ต้องเริ่มหลังจากเด็กชาย อายุได้ประมาณ 2-4 ขวบ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเริ่มต้น หลังจากนี้แล้ว จะสายเกินไป มันไม่เคยสายเกินไป แต่อาจจะยากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเวลาผ่านไปโดย ปราศจากการ “แยกความผูกพันธ์” จากแม่ของเด็ก ผู้เป็นแม่ควรที่จะระงับ สิ่งยั่วยวลใจ ที่จะ “เป็นผู้ควบคุมในบ้าน” ถึงแม้ว่าเธออาจจะ มีการศึกษาที่ดีกว่าสามี หรือฉลาดกว่าสามี หรือมีการงานที่ดีกว่าสามี

สิ่งที่ร่วมกันทำ ทั้งหมดนี้จะทำให้ เด็กผู้ชายต้องการที่จะ กลายเป็นผู้ใหญ่อย่างพ่อของเขา มันช่วยให้เด็กชาย มีความมั่นใจในตัวเอง และปลอดภัยในการพัฒนาการ เป็นผู้ชายอกสามศอก ขณะเดียวกันก็มีความรักความห่วงใยกัน อย่างที่เขาได้สังเกตุว่า พ่อเขากระทำตัวต่อแม่เขาอย่างไร มันเป็นสิ่งที่สวยงามเหลือเกิน ที่ให้ธรรมชาติอย่างนี้ ทำงานไปตามกลไกของมัน อย่างที่ควรจะเป็น แต่ไม่มีคู่สมรสใด ที่สมบูรณ์แบบ อุดมคติบางอย่างเลื่อมล้ำกัน “ในการมีบทบาท” ที่จริงแล้วจะไม่ทำให้เด็ก เป็นคนรักร่วมเพศ แต่กฏข้อบังคับ ในการมีกิจกรรมร่วมกัน ระหว่างผู้ปกครอง ในการป้องกัน การเป็นคนรักร่วมเพศ ในบุตรหลาน เป็นสิ่งที่ชัดเจน และเข้าใจได้ดี

แล้วเด็กผู้ชาย ที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่ จะทำอย่างไร? เออ – ภาระหน้าที่มันยากขึ้น แต่ก็ยังไม่สิ้นความหวัง ทั้งหมดนี้ เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ที่โตขึ้นมา จากพ่อที่ชุบเลี้ยงตามลำพัง จะไม่กลายเป็นคนรักร่วมเพศแน่นอน แต่ก็มีข้อถกเถียงว่า เด็กผู้ชายที่มีพ่อ ชอบกระทำผิดต่อเด็ก หรือตีเด็กนี้ ยิ่งแย่กว่าเด็กผู้ชาย ที่ไม่เคยมีพ่อเลยเสียอีก นี่เป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะเด็กชาย ที่ถูกละเมิดทางเพศโดยพ่อของเขาเอง หรือจากพ่อเลี้ยง ผู้เป็นแม่ ที่ไม่มีสามีก็จะ ทำได้ดีเหมือนกัน ถ้าเธอสามารถที่จะ พาเด็กชายไปรู้จักกับญาติที่เป็นผู้ชาย (เช่น ลุง น้า หรือ ปู่ ฯลฯ) ที่จริงแล้วผู้ชายคนไหนก็ได้ ที่เธอให้ความไว้วางใจ จะเป็นแบบอย่างตัวสำรอง ให้กับบุตรชายได้ และถ้าเด็กผู้ชายคนนั้น มีพี่สาวหลายคนในบ้าน และถ้าแม่ปราศจากสามี ผู้เป็นแม่ควรสอดส่องดูแล เพื่อว่าเขาจะไม่ติดกับดัก โดยการเล่นตุ๊กตาของเด็กผู้หญิง และควรที่จะ มีตุ๊กตาของเด็กผู้ชายเอง พ่อที่ปราศจากภรรยา จะมีปัญหาอีกแบบหนึ่ง เด็กผู้ชายต้องการแม่เหมือนกัน แต่พ่อที่ปราศจากภรรยา ป้องกันการเป็นชายรักร่วมเพศ ได้ง่ายกว่าแม่ที่ปราศจากสามี จำไว้ว่า : แม่เป็นคนสร้างเด็กผู้ชาย แต่พ่อเป็นคนสร้างความเป็นผู้ชาย

กิจกรรมของพวกล๊อบบี้เกย์ (จาก RFSL) ในโรงเรียนของเรา ในปัจจุบัน พร้อมกับการดึงดูดใจของ วิถีการดำเนินชีวิตของชายรักร่วมเพศ ในสื่อมวลชนและในธุรกิจของการบันเทิง ทำให้มันยากยิ่งขึ้น สำหรับผู้ปกครองในปัจจุบันที่จะ ป้องกันบุตรหลาน จากการถูกฉุดดึงเข้าไป ในวิถีการดำเนินชีวิตของการรักร่วมเพศ ผมได้อ่านข้อความ (อ้างอิง ref.19) จากหนังสือพิมพ์ในสวีเดน ชื่อ “ข่าวภาคค่ำประจำวัน” (The Evening Daily) (Sw: Aftonbladet) เมื่อไม่นานนี้ และเขาก็แนะนำยาชนิดที่เลวที่สุด สำหรับป้องกันไม่ให้เด็กผู้ชาย ที่เริ่มต้นจะเป็นรักร่วมเพศ เขาเขียนไว้ว่า :

“คุณให้ตุ๊กตากับลูกชายคุณ ครั้งสุดท้ายเมื่อไร? ผู้เชี่ยวชาญว่าอย่างนี้ : ภายใต้ความรู้สีกของพวกเรา เราเลี้ยงดูบุตรหลาน จากบทบาทของเพศที่ล้าสมัย

มันสำคัญอย่างไร สำหรับ “ผู้เชี่ยวชาญคนนี้” ที่เราเลี้ยงลูกชาย ในบทบาทของเพศ! ให้กลายเป็นผู้หญิงมากขึ้น หรือพยายามนำพาเขาเหล่านั้น เข้าไปให้สับสน กับเรื่องแยกแยะเพศ ไม่มีคำสรุปใด ๆ จากข้อมูลที่ไร้ค่าอันนี้ และการโหมโรง ก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ ในทุกระดับชั้นทั้งในโรงเรียน สังคม สื่อสารมวลชน และธุรกิจบันเทิง พวกสังคมของชายรักร่วมเพศรู้อยู่เต็มอกว่า การพัฒนาการของการรักร่วมเพศ มาจากจุดเริ่มต้น ก่อนเป็นชายรักร่วมเพศ ซึ่งมีแหล่งกำเนิดมาจาก ความสับสนของประเภท หรือชนิดของเพศ โดยผ่านกิจกรรมที่ร้ายกาจ พวกเขาไล่ติดตามหลัง บุตรหลานของเรา อย่างเห็นได้ชัด เพื่อที่จะเพิ่มจำนวนสมาชิก และอำนาจของพวกเขา โดยใช้เด็กของเรา ที่อ่อนแอและไม่มั่นคงเป็นเหยื่อ ดูซิว่ามันเป็นภัยอย่างไร?

ความหวังและความฝันของผมก็คือ วันหนึ่งจะต้องมี “กองทุนช่วยเหลือเด็ก” (Save The Children Fund) เพื่อที่จะโต้ตอบ สิ่งที่ไร้ค่าเหล่านี้ เป้าหมายก็คือ มันควรที่จะช่วยเด็ก ที่อยู่ในบริเวณที่อันตราย มันสามารถที่จะเกิดขึ้นได้หลาย ๆ ทาง แต่จุดมุ่งหมายก็เพื่อ ช่วยเด็กชายให้มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ กับผู้ชายที่เป็นต้นแบบที่ดี เพื่อที่จะช่วยเขาเหล่านั้น พัฒนาเป็นผู้ชาย มันอาจจะเป็นการสนับสนุน ให้มีค่ายพักตอนฤดูร้อน ที่ซี่งคนเป็นผู้นำที่มีชีวิตสมรส ที่ประสบความสำเร็จ และมีความสุข และผู้ชายที่มีความมั่นคงในชีวิต ที่มีมาตรฐานศีลธรรมสูง ที่มีความปรารถนา ที่จะช่วยเหลือเด็กผู้ชายที่ขาดพ่อ สำหรับข่าวสารเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับ บทบาทของพ่อให้อ่านที่ “ประสบการณ์ในวัยเด็กของชายรักร่วมเพศ” (Childhood Experiences of Homosexual Men) เขียนโดย Mr. Dale O’ Leary สำหรับ NARTH (อ้างอิง ref.20)

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

7.  ถูกทำร้ายโดยพวกล๊อบบี้ในอเมริกา ต่อคนที่ไม่เห็นด้วยกับวาระของพวกเขา (Attacks by the homolobby in USA against people who disagree with their agenda)

การค้นคว้าวิจัยอย่างต่อเนื่อง และบทสรุปโดย Mr. Irving Bieber และเพื่อนร่วมทีมของเขา (อ้างอิง REF.4) ที่ถูกพิสูจน์ความจริง ในการาค้นคว่าวิจัยต่อมา ได้ล้วงเอาความจริงออกมา ที่ทำให้พวกล๊อบบี้ของพวกรักร่วมเพศ ในองค์กร 2 องค์กร (APA ทั้ง 2 องค์กร) (American Psychiatric Association และ American Psychological Association )

ผลของการค้นคว้าวิจัย ที่ซื่อสัตย์นี้ไม่ได้ถูกมองว่าเป็น “กระแสหลักทางการเมืองที่ถูกต้องในเวลานี้” (politically correct) ในสังคมของเราทุกวันนี้ และ Mr. Bieber ก็ถูกสังคมประนาม ตัวอย่างเช่น เขาได้พิมพ์หนังสืออกมา เมื่อหลายปีที่แล้ว และบรรยายที่ประชุมของ APA ภายใต้หัวข้อเรื่อง “การรักร่วมเพศและเพศที่ตรงกันข้าม” (Homosexuality and Tran Sexuality) เขาถูกผู้ก่อกวน รบกวนอย่างหยาบคาย จากพวกล๊อบบี๊ของชายรักร่วมเพศ ในองค์การของ APA และผู้ค้นคว้าวิจัยอีกคนหนึ่ง Mr. Ronald Bayer ที่เป็นอาจารย์สอนที่ Hastings Institue ในรัฐนิวยอร์ค ที่อธิบายตอนหนึ่งในหนังสือของเขา (Homosexuality and American Psychiatry: The Politics of Diagnosis, New York: Basic Books, 1981) (การรักร่วมเพศและจิตวิทยาของคนอเมริกัน : การเมืองของการวนิจฉัยโรค, นิวยอร์ค : Basic Books, ค.ศ. 1981 หน้า 102-103; (อ้างอิง REF.1) หน้า 33) เป็นอย่างนี้ :

“ความพยามยามของ Mr. Bieber ที่จะอธิบายจุดยืนของตน.....ถูกต้อนรับด้วยการหัวเราะเยาะเย้ย......คนที่ลุกขึ้นมาประท้วงเรียกเขาว่า.......” ผมได้อ่านหนังสือของ Mr. Bieber และถ้าหนังสือเล่มนั้น พูดเกี่ยวกับชาวผิวดำ ในทางที่พูดเกี่ยวกับการรักร่วมเพศ คุณจะถูกกักขังที่นี่และก็สมน้ำหน้า”

Mr. Bayer กล่าวต่อไป :

“กลเม็ดนี้ใช้ได้ผล ยอมทำตามแรงกดดัน ผู้จัดการประชุมของ APA ในปี ค.ศ. 1971 ตกลงกันว่าจะ ให้การสนับสนุน ให้มีคณะกรรมการพิเศษ – ไม่ใช่เกี่ยวกับการรักร่วมเพ ศ แต่โดยพวกคนรักร่วมเพศ และถ้าคณะกรรมกา รไม่ได้รับการรับรอง (ประธานในโครงการถูกขู่) “พวกนักรณรงค์รักร่วมเพศ จะไม่ถูกทำลายแค่หนึ่งส่วนเท่านั้น”

แต่คณะกรรมการมีไม่พอ Mr. Bayer กล่าวต่อไป :

“พวกเขาพากันพึ่งกลุ่มเกย์ Gay Liberation Front Collective” ซึ่งเป็นกลุ่มเกย์ ที่ทรงอิทธิพลในกรุงวอชิงตัน เพื่อที่จะวางแผนในการเดินขบวน ในเดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1971 และเมื่อรวมกันแล้ว พวกเขาก็จะหาจุดยุทธศาสตร์ร่วมกัน เพื่อที่จะทำการก่อกวน และให้ความสนใจ ในรายละเอียดของการคำณวนอย่างละเอียด”

วันที่ 3 พฤษภาคม ปี ค.ศ. 1971 มีผู้ประท้วงที่เป็นจิตแพทย์ บุกเข้าไปในที่ประชุม ของผู้ที่มี่ชื่อเสียง ในสาขาอาชีพนี้ พวกเขาแย่งไมโครโฟน และส่งต่อไป ให้กับนักรณรงค์คนอื่น ที่ประกาศว่า :

“จิตวิทยาเป็นศัตรูที่มีตัวตน จิตวิทยาได้กระทำสงครา มอย่างไม่ยอมผ่อนปรน เพื่อที่จะกำจัดพวกเรา คุณควรที่จะรู้ไว้ว่า นี่เป็นการประกาศสงครามกับคุณ เราปฏิเสธไม่ยอมรับคุณทั้งหมด อย่างเพื่อนของเรา”

ผู้รณรงค์ต่อต้าน ได้ปรากฏตัวต่อหน้าคณะกรรมการ APA ประธานที่ประชุม อนุญาตให้เขาทำอย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะว่า พฤติกรรมของการรักร่วมเพศ ไม่ใช่สัญลักษณ์ของการบกพร่องทางจิต และแล้วคู่มือของการวิเคราะห์โรค และคู่มือเกี่ยวกันสถิติ (Diagnostic and Statistical Manual - DSM) ควรที่จะสะท้อนถึง ความรู้ความเข้าใจใหม่อันนี้

หลังจากนั้นไม่นาน APA ได้ลบข้อความที่ว่า การรักร่วมเพศ เป็นสิ่งที่บกพร่องทางจิต จากคู่มือ DSM ไม่ใช่หักล้างจาก รายละเอียดทางด้านวิทยาศาสตร์ แต่ถูกการต่อต้านที่หยาบคาย โดยกลุ่มชายรักร่วมเพศ ในองค์กร APA คุณน่าจะอ่านเรื่องราวทั้งหมดนี้ ใน (อ้างอิง REF.1) หน้า 32-35

และทำให้ยุคสมัยใหม่ไ ด้เริ่มต้นขึ้นที่จิตแพทย์จำนวนมากมายท่วมท้น ไม่กล้าที่จะช่วยผู้ปกครอง เพื่อที่จะป้องกันการพัฒนาการของชายรักร่วมเพศ ในบุตรหลานของเขา

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

8.  การถูกทำร้ายโดยพวกล๊อบบี้รักร่วมเพศ ในประเทศสวีเดนต่อผู้คน ที่ไม่เห็นด้วยกับวาระของพวกเขา (Attacks by the homolobby in Sweden against people who disagree with their agenda)

เกี่ยวกับการที่ประเทศของเรา ได้เต็มไปด้วยสิ่งชั่วร้ายอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์ที่สำคัญในชีวิต มีดังนี้ (แหล่งข่าว : http://www.gluefox.com ที่นั่นคุณสามารถ คลิกไปที่เมนูบาร์ข้าง ๆ ที่มีชื่อว่า “Dagens Adrenalinklick” และจากนั้นเลือก “Homosexualitet—en naturlig yttring av manniskans sexualitet, eller…?” (อ้างอิง ref.21)

ก่อนปี ค.ศ. 1994 กิจกรรมของการรักร่วมเพศ ในระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย ถูกตราหน้าว่า ผิดกฏหมายและถูกมองว่า เป็นอะไรที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ และทำให้เสื่อมทรามลง เป็นเวลาที่เหมาะสมซึ่งการมองทางด้านจิตวิทยา เกี่ยวกับการรักร่วมเพศ ได้เข้ามาครอบงำ ซึ่งแหล่งกำเนิดของการรักร่วมเพศ ถูกมองว่าเป็นเรื่องของความไม่สมดุลย์ ทางด้านเกี่ยวกับจิต ที่ได้ฝังลึกจากบาดแผล ในประสบการณ์เมื่อตอนยังเป็นเด็ก ในสารานุกรมเกี่ยวกับการแพทย์ (Sw: Medicinsk Uppslagsbok) ฉบับปี ค.ศ. 1969 โดย Mr. Ack renander (เป็นที่ถูกมองว่า เป็นผู้ยึดถือมาตรฐาน ทางการแพทย์ในสวีเดน) เราได้พบคำจำกัดความ ดังต่อไปนี้ “การอ่อนแอของการกระตุ้นทางเพศ ที่มุ่งต่อคนที่เป็นเพศเดียวกัน” และในสารานุกรม Norstedt (Sw: Norstedts Uppslagsbok) จากปี ค.ศ. 1973 เรื่องของการรักร่วมเพศ ถูกอธิบายไว้ว่า “การบิดเบือนการกระตุ้นทางเพศ ที่มุ่งต่อคนเพศเดียวกัน ในทางตรงกันข้าม : คนที่รักชอบเพศตรงข้าม เป็นการตุ้นทางเพศที่ปกติ”

เรามาพูดกันเกี่ยวกับ การเดินพาเหรด ที่เรียกว่า เทศกาลแห่งความภาคภูมิ ปี ค.ศ. 2001 ซึ่งเป็นการเดินพาเหรด ที่สุรุ่ยสุร่ายของพวกคนรักร่วมเพศ ในสต๊อกโฮม ภายในเต๊นท์ที่เป็นของสมาคม ชายที่รักความอิสระ สิ่งที่ดึงดูดผู้คน คือการใช้ลูกดอก ปาไปที่รูปของพระสันตปาปาโป๊ป Mr. Alf Svensson และ Mr. Ulf Ekman (ที่เป็นผู้นำของกลุ่ม “โลกที่เต็มไปด้วยชีวิต” (The World of Life) ; ซี่งเป็นนิกายใหม่ ในศาสนาคริสต์ในสวีเดน) ในเหตุการณ์นี้ คุณสามารถที่จะพูด เกี่ยวกับความเกลียดชัง และการยุยงให้เกิดความรุนแรง ต่อผู้ที่ถูกหมายหัวไว้แล้ว และกลุ่มคนที่เป็นตัวแทน ของท่านผู้นำเหล่านี้ คุณอาจจะสงสัยว่า จะเกิดปฏิกริยาอย่างไร ในสื่อสารมวลชน ถ้ามีการจัดการประชุม ทางศาสนาคริสต์แล้ว เราก็จะดึงดูดผู้คน โดยการโชว์รูปของผู้ที่ “กลัวศาสนาคริสต์” จากองค์กร RFSL แล้วมีคำเขียนเอาไว้ว่า “เอาหินขว้างไอ้พวกกระเทย” คนที่มีความศรัทธาในพระเจ้ าแน่นอนว่าเขาทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ อย่างไรก็ดี RFSL ไม่เคยลังเลใจเลยที่จะ ยุยงให้เกลียดชังต่อคนที่ เขานับถือศาสนา คนเหล่านี้ขาดความอดทน ที่ยอมรับความเห็นของคนอื่น อย่างสิ้นเชิง

ผมยังมีตัวอย่างเพิ่มเติมของ การยุยงให้เกลียดชัง โดยกลุ่มชายรักร่วมเพศ ในสวีเดนในทุกวันนี้ : ในหนังสือรายสัปดาห์ ของคนหนุ่มสาวชื่อ “Lava” พิมพ์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2003 โดยสภาเมืองสต๊อกโฮม (ที่ใช้เงินภาษีอากรของประชาชน) โชว์รูปการ์ตูนของ Mr. Siwert Oholm กำลังร่วมเพศกับ Mr. Alf Svensson ภายใต้รูปการ์ตูน พวกเขาได้เขียนข้อความไว้ ดังต่อไปนี้ (เขียนโดยนักร้องเพลงและ “นักโต้วาที” Ujje Brandelius) เขียนไว้ว่า “…..นี่เป็นการล้างให้สะอาด และทำให้มันหมดไปกับ พวกคริศเตียนที่กร่อย ที่เน่าเฟ๊ะ ผู้ชายที่เหม็นเน่า และระบบศีลธรรมเก่า ที่เน่าเหม็นให้ออกไปจากบนพื้นโลก” รูปการ์ตูน และข้อความ ถูกตีพิมพ์โดยหนังสือพิมพ์ Hans Goran Bjork (คนนี้เป็นคอลัมนิสต์สำหรับบทความ “โลกทุกวันนี้” ที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ “โลกที่เต็มไปด้วยชีวิต”) ซึ่งทั้งเลขาธิการของกระทรวงยุติธรรม และสมาชิกคณะกรรมการ ปราบปรามการทุจริต ของกระทรวงยุติธรรมทั้ง 2 คน คิดว่าการแสดงความคิดเห็น ให้ล้างให้หมดไปกับ คนนับถือศาสนาคริสต์ จากบนพื้นผิวโลกใบนี้ เป็นสิ่งที่ยอมรับกันได้ เปรียบเทียบกับโทษทางอาญาอย่างรุนแรง ต่อพระ Pastor Ake Green ผู้ซึ่งพูดต่อต้านพวกชายรักร่วมเพศ และอบายมุขเกี่ยวกับกามารมณ์ทางเพศ

ในประเทศสวีเดน ทุกวันนี้ ศูนย์กลางของสถานที่ราชการหลาย ๆ แห่ง และสาขาของรัฐบาล ถูกครอบงำโดยอิทธิพลของ วาระของพวกล๊อบบี้ชายรักร่วมเพศ ตั้งแต่ศาลสุงสุดของสวีเดน (Sw: HD or Hogsta Domstolen) และไมใช่แค่ระดับทางการเมืองเท่านั้น โบสถ์ส่วนใหญ่ในการดูแลของ “Church of Sweden” ที่ได้รับเงินสนับสนุน จากคนผู้เสียภาษี เป็นร้อยปีที่ผ่านมา ก็ถูกอิทธิพลครอบงำ จากกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ ของพวกล๊อบบี้ชายรักร่วมเพศ อย่างไรก็ดี แม้กระทั่งในโบสถ์ที่ว่านี้ ยั งมีสมาชิกที่เห็นคุณค่าเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งพระในโบสถ์ ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายที่ไหลออกห่างจากพระศาสนา

พระราชาคณะชั้นสูง Hammar และ แม่ชี Anna Karin Hammar (ซึ่งเป็นน้องสาวพระสังฆราชที่อยู่ในเมือง Uppsala ซึ่งตัวเธอเองเป็นเลสเบี้ยน หญิงรักร่วมเพศ) ที่เป็นส่วนหน้าสุดของการเปลี่ยนแปลง การสั่งสอนที่เป็นประเพณีอันยาวนาน ของศาสนาสวีเดน (Lutheran Church) สำหรับข่าวสาร ที่เพิ่มเติม เกี่ยวกับปฏิกริยาของชาวคริสเตียน ต่อการรุกคืบของ พวกชายรักร่วมเพศ ให้ไปดูที่ No.6 ระหว่าง “ค่ำคืนแห่งวัฒนธรรม” ในวันที่ 19 กันยายน ค.ศ. 1998 พวกเขาจัดการ “สวดมนต์” ในโบสถ์ของเมือง Uppsala และที่นั่นก็มีนิทรรศการโชว์ ที่เรียกว่า นิทรรศการรักร่วมเพศ มันมีรูปของพระเยซู ไปในทางนั้นขณะที่ “สวดมนต์” ในโบสถ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ ในสิ่งแวดล้อม ที่เต็มไปด้วยคนรักร่วมเพศ และภาพพระเยซูเอง ก็เป็นชายรักร่วมเพศด้วย ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่สุดโต่งของ การแสดงความคิดเห็น ในสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ในสวีเดน ใน 30 ปีที่ผ่านมา

ในสภาพแวดล้อมอย่างนี้ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ ที่ผู้ปกครองจะหาหมอจิตแพทย์ หรือแพทย์จิตบำบัดเต็มใจ ที่จะให้การแนะนำ เกี่ยวกับการสับสน ในการเลือกเพศในบุตรหลานของเขา ในทางตรงข้าม อาจจะถูกส่งเสริมให้ ผู้ปกครองยอมรับให้บุตรหลาน พัฒนาให้เป็นชายหญิงรัก ร่วมเพศ สมาคมของจิตแพทย์ในสวีเดน ที่มีสมาชิกประมาณ 8,500 คน (ตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1955) ได้พิมพ์หลักการจริยธรรม สำหรับนักจิตแพทย์อาชีพ ในหมู่ประเทศสแกนดิเนเวีย ในปี ค.ศ. 1998 (Ethical Principles for Professional Psychologists in the Nordic Countries)

ในท่ามกลางหลายสิ่งหลายอย่าง เขาเขียนไว้ว่าพวกเขาจำต้อง “เคารพต่อความแตกต่างในตัวบุคคล บุคคลที่เราชมชอบ และอยากจะเลียนแบบ และทางด้านวัฒนธรรม โดยคำนึงถึงลำดับของการใช้งาน เพศ และการเบี่ยงเบนทางเพศ” มันฟังแล้วเหมือนเรื่องตลกมาก ยกเว้นว่ามันเป็นคัมภีร์ที่ “ให้ความเคารพการเบี่ยงเบนทางเพศ” ผสมผสานกับ “ข่าวสารข้อมูลไปถึงประชาชน” เรื่อง “การแนะนำเกี่ยวกับ การร้องเรียนกล่าวโทษกับพวกจิตแพทย์” มันแสดงบอกเหตุที่ ให้ความหมายว่า ให้จิตแพทย์คนใดก็ได้ ที่ต้องการช่วยผู้ปกครอง ปกป้องการเป็นรักร่วมเพศ ในบุตรหลานของเขาทั้งหลาย

ตั้งแต่เริ่มแรกได้เกี่ยวข้องกับ เรื่องที่ถูกปกปิดเรื่องที่ 1 (ที่ว่าด้วยวิถีการดำเนินชีวิต ของพวกเกย์และคนธรรมดา เป็นสิ่งที่พึงปรารถนา) และเรื่องที่ถูกปกปิดเรื่องที่ 2 (ที่ว่าไว้ว่าคุณไม่สามารถที่จะ มีอิทธิพลครอบงำบุตรหลานของท่าน ไม่ให้เบี่ยงเบนทางเพศในอนาคต) ดังนั้นเราจะพากันเดินต่อไป ในเรื่องที่ถูกปกปิดเรื่องที่ 3

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

เรื่องที่ถูกปกปิดเรื่องที่ 3 การเบี่ยงเบนทางเพศเป็นผลมาจากกรรมพันธุ์ “มันอยู่ในพันธุกรรม” (Myth Number 3: Sexual orientation is herediatary – “It’s in the genes”

1.    ความเป็นอคติ และการโน้มเอียง จากผลของการค้นคว้า โดยพวกล๊อบบี้ชายรักร่วมเพศ (The bias/spin of research results by the homolobby)

สมาคมจิตย์อเมริกา (APA) ได้พิมพ์เอกสาร ให้คำแนะนำสำหรับแพทย์มืออาชีพ มีหัวข้อว่า คู่มือของการวิเคราะห์โรค และสถิติ (DSM) จนกระทั่งปี ค.ศ. 1973 การรักร่วมเพศถูกมองว่า เป็นความประพฤติที่ผิดปกติ ต้องการความช่วยเหลือในการรักษา แต่ในปีนั้น APA ประกาศว่าการเป็นคนรักร่วมเพศ เป็นความประพฤติที่ปกติ (โดยไม่มีมูลฐานของการวิจัยค้นคว้า) เราได้แสดงให้เห็นว่า มันมาได้อย่างไร ในทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตย โดยผ่านทางความคิดที่หลักแหลม และน่าขยะแขยง โดยหน่วยงานคนรักร่วมเพศ ใน APA และผู้ที่สนับสนุนพวกเขา (อ้างอิง REF.1); หน้า 32-36) ภายในสองปี หลังจากการตัดสินใจครั้งนี้ APA (American Psychological Association) ก็ได้ตัดสินใจแบบเดียวกัน เพราะว่าการตัดสินใจ ครั้งสำคัญนี้เป็นผล มันถูกมองในกระทันหันว่า ไม่เหมาะสมที่จะพยายาม ช่วยผู้ปกครองป้องกัน การพัฒนาการรักร่วมเพศ ในบุตรหลานของเขา ผู้ที่กล้าที่จะสนับสนุน ก็จะถูกทำโทษอย่างรุนแรง เพื่อดัดสันดาน

ตลอดทั้งปีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973 สาขาต่าง ๆ ของชายรักร่วมเพศ และผู้สนับสนุนของเขา ก็ได้อำนาจที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ภายใน APA ทั้ง 2 องค์กร มากเท่าที่ปัจจุบันได้รวมตัวกัน เป็นคณะกรรมการตรวจสอบ พร้อมกับอำนาจในการดูแล การค้นคว้าวิจัยทั้งหมดในสาขาของการรักร่วมเพศ ที่มา ต้นตอ และสาเหตุของที่มา การรักร่วมเพศในปัจจุบันนี้ ถูกใช้ไปในทางที่ผิดแบบ ไม่เหมาะสม ในทางด้านวิทยาศาสคร์ ของพฤติกรรมของมนุษย์ เพราะฉะนั้น เมื่อใดก็ตาม ที่มีการค้นคว้าวิจัยใหม่ ๆ ออกมา มันเป็นการจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง ที่ต้องรู้ว่าใครคือผู้วิจัยค้นคว้า และการเบี่ยงเบนทางเพศของเขา บวกกับที่มาของเงินทุนในการค้นคว้า มันเป็นเรื่องน่าเศร้าว่า เรื่องเป็นไปตามนั้น แต่นี่ก็เป็นไปตามทางของมันในปัจจุบัน และเราก็ได้เห็นการค้นคว้าจอมปลอม ที่โน้มเอียงในหัวข้อนี้ ในรอบสิบ ๆ ปีที่ผ่านมา การเพ่งเล็งไปที่วาระ ของคนรักร่วมเพศก็คือการแสดงผ่าน “การวิจัยค้นคว้า” และการแพร่กระจายข่าวสาร ทางสื่อมวลชนของผลการวิจัย ว่าการเป็นคนรักร่วมเพศนั้น มาจากพันธุกรรม เมื่อการค้นคว้าต่อมา ที่แสดงหลักฐานว่า ผลออกมาผิดหรือถูกบิดเบือน ก็ไม่มีการแก้ไข ให้ถูกต้องในสื่อมวลชน และต่อจากนี้ไป เราจะเห็นการยกตัวอย่างมากมาย

แต่เราต้องดูก่อนว่า ทำไมเราถึงได้การค้นคว้าวิจัย ที่โน้มเอียงที่น่าขนลุกนี้ ไม่ใช่แค่ในการวิจัยค้นคว้า แต่ในทางด้านแพร่กระจายข่าวสาร ไปยังประชาชนที่กว้างออกไป การสำรวจได้แสดงออกว่า คนรักร่วมเพศและคนที่สนันสนุนเขา ถูกทำให้บิดเบือนอย่างมาก ในสื่อสารมวลชน ยกตัวอย่างเช่น หนังสือพิมพ์ New York Times และ Washington Post สำนักข่าวชั้นนำ “เก่าแก่” มีคณะกรรมการบรรณาธิการ ที่เต็มไปด้วยคนรักร่วมเพศ นี่อาจจะเป็นเรื่องสุดโต่ง แต่แนวความคิดเห็นนี้ ก็เหมือนกันไปหมด ในแวดวงของสื่อสารมวลชน และหนังสือทั้งหลาย ก็ไม่เคยเขียนอะไรเกี่ยวกับ การโน้มเอียงที่ฝังรากลึก พวกเขาไม่ต้องการที่จะ ให้ท่านผู้อ่านรู้ว่าคณะกรรมการบรรณาธิการ เป็นชายรักร่วมเพศทั้งหมดกี่คน

ทำไมมันถึงได้สำคัญ ที่จะชี้ให้เห็นถึงเหตุการณ์นี้? พวกเราทั้งหมดมีรูปแบบของความคิดเห็น และวางตัวที่มีพื้นฐานมาจาก ที่เราได้อ่านและที่เราได้ยินมา ดังนั้น ความคิดเป็นที่ได้รับทั่ว ๆ ไป มีรูปแบบที่กว้างขวางจากการรับรู้ของข่าวสารของเรา โดยเฉพาะโดยทางโทรทัศน์ และในประเทศอย่างเรา ที่มีจำนวนช่องในโทรทัศน์ที่จำกัด ต้นตอของข่าวสาร สำหรับประชากรทั่วไปนั้น มีจำนวนจำกัดเหลือเกิน

ในประเทศอเมริกา หนังสือพิมพ์ New York Times ได้กำหนดทิศทางให้แก่นักข่าว ของตนให้ข่าวอย่าางไร เกี่ยวกับเรื่องของการรักร่วมเพศ ยกตัวอย่างเช่น พวกเขากำหนดข้อความของ สิทธิเสรีภาพของพวกเกย์ดังนี้ : “พวกที่สนับสนุนเกย์ เป็นห่วงว่าคำที่บอกความหมายว่า “สิทธิเสรีภาพของเกย์” อาจจะทำให้คน มีปฏิกริยาทางด้านลบ โดยมีความเชื่อว่ าพวกเกย์มีสิทธิพิเศษ ที่คนอื่นเขาไม่มี ผู้สนับสนุนเกย์ ชอบให้ใช้คำที่มีความหมายว่า “สิทธิเสรีภาพที่เท่าเทียมกัน” หรือ “สิทธิอย่างประชาชนชาวเกย์” ถ้าคุณจำต้องใช้คำว่า “สิทธิเสรีภาพของเกย์” คุณต้องให้คำจำกัดความ ที่เที่ยงตรงในข้อความว่า มันเกี่ยวข้องกับอะไร”

เป็นเพราะว่า วาระของล๊อบบี้ของคนรักร่วมเพศ ที่จะให้สื่อในการแพร่กระจาย ข่าวสารของพวกเขา ดังนั้นมีอะไรดีที่เหลืออยู่ ที่ยังอยู่ในข่าวสาร นักข่าวที่เป็นชายรักร่วมเพศในปี ค.ศ. 1990 ได้จัดตั้งสมาคมแห่งชาติของเขาขึ้นมา สมาคมนักข่าวเลสเบี้ยนและเกย์ (NLGJA) ที่กลายมาเป็นสมาคม ที่ทรงอิทธิพลในการฉลอง ครบรอบ 10 ปี ที่รัฐซานฟรานซิสโก ในวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 2000 พวกเขามีการหารือกัน ที่เหนือความเป็นจริง ในการสนทนาครั้งใหญ่นี้ ปัญหาที่ถูกยกมาพูดคุยกัน โดยคณะกรรมการคือ “ผู้เป็นนักข่าว ตอนรายงานข่าว ที่เกี่ยวข้องกับการรักร่วมเพศ ต้องมีความรับผิดชอบ ที่จะต้องรวมความคิดเห็นของตน ที่ขัดต่อพวกคนรักร่วมเพศ? ผู้ร่วมประชุมจากหนังสือพิมพ์ใหญ่ Mr. Jeffrey Kofman ให้สำนวนคำพูดไว้อย่างนี้ “เรื่องทั้งหมดนี้เกี่ยวกับ “ความสมดุลย์” ที่เราทั้งหลายที่เป็นนักข่าว ที่จะต้องทำให้สำเร็จ.....เหมือนกับว่าเราให้ข่าว เกี่ยวกับชนชาวผิวดำ ผมไม่เคยเห็นห้องเตรียมข่าว ที่คุณกำลังให้ข่าวกับคนพวกหนึ่ง แล้วคุณก็ต้องวิ่งออกไปอีกข้างหนึ่ง เพื่อที่จะขอความคิดเห็นจากอีกคนหนึ่ง อ้อ! ผมจะต้องไปสัมภาษณ์คน ๆ นั้น คุณจะให้ความยุติธรรมอย่างไร? Mrs. Paula Madison เป็นผู้อำนวยทางด้านข่าวของสถานีโทรทัศน์ WNBC ในนิวยอร์คแสดงความเห็นว่า “ฉันเห็นด้วยกับเขา ฉันไม่เห็นเลยว่า ทำให้เราจะต้องค้นหา.....เรื่องน่าหัวเราะและความเห็นที่บ้าบอ เพียงแค่จะได้มาซึ่งความคิดเห็นอีกอันหนึ่ง” และ Mr. Kogman ก็ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “พวกเราทั้งหมดได้เคยเห็น และจะต้องได้เห็นต่อไป ของการหาข่าวที่มากมาย ที่เกี่ยวข้องกับมุมมอง เรื่องของพวกเกย์ ที่มีคนที่ไม่มีความอดทน จากความคิดเห็นของคนอื่น และไม่มีคุณสมบัติเลย”

ข้อความคำพูดนี้ ชัดแจ๋วเหมือนแก้วใส : เป็นเพราะว่าผู้คนเหล่านี้ ที่มีมุมมองที่แตกต่าง ไม่อดทนต่อ ความคิดคนอื่นที่ดื้อรั้นตั้งแต่แรก ก็ไม่ควรที่จะ ให้เขาได้มีสิทธิ์ มีเสียงในสื่อสารมวลชน เพื่อน ๆ ทั้งหลาย เราได้มาถึง การไม่มีความอดทน ต่อความคิดเห็นของคนอื่น โดยกลุ่มล๊อบบี้ของเกย์ ในทางที่ตกต่ำ ของสังคมของพวกเรา

หนังสือพิมพ์ New York Times มีคำสั่งไปยังผู้สื่อข่าว และนักหนังสือพิมพ์ ม่ให้ใช้คำที่มีคำว่า “สิทธิเสรีภาพของเกย์” ที่ออกข่าว ที่ขัดต่อคำแนะนำดั้งเดิม ในหนังสือที่เขียนโดย Kirk และ Madsen เรื่อง (หลังจากลูกบอล : ประเทศอเมริกาจะได้รับชัยชนะ กับความกลัวและ เกลียดชังพวกเกย์อย่างไร ในปี ค.ศ. 1990) ผมสามารถที่จะคิดว่า ไม่มีการตีแผ่ ของวิธีการตลาดที่หลักแหลม โดย Kirk และ Madsen ดีกว่าหนังสือของ David Kupelian ที่มีหัวข้อว่า “การตลาดที่เลวร้าย : ผู้มีหัวรุนแรง ผู้ที่รู้สึกว่าเหนือคนอื่น และผู้เชี่ยวชาญการหลอกลวงต่อสู้ กับการคอร์รัปชั่น ที่แฝงกายเป็นพวกเสรีชน” (The Marketing of Evil: How Radicals, Elitists, and Pseudo-Experts Sell US Corruption Disguised as Freedom) สำหรับข้อใหญ่ ใจความของหนังสือเล่มนี้ ให้คลิกไปที่ (อ้างอิง ref.22)

David Kupelian เขียนไว้ในหนังสือของเขา “คุณอาจจะสงสัย : เมื่อไรและที่ไหนที่ “สิทธิเสรีภาพของเกย์” และการประชาสัมพันธ์ ด้วยวิธีบีบคั้นที่รุนแรง จะสิ้นสุดลง? บทสุดท้ายไม่ใช่แค่ ทำให้การยอมรับของพวกคนรักร่วมเพศ อย่างสมบูรณ์แบบ มันรวมไปถึง การแต่งงานของเพศเดียวกัน แล้วก็รวมถึง การห้าม หรือทำให้ผิดกฏหมาย ถ้าเราวิพากวิจารณ์ เกี่ยวกับการรักร่วมเพศ รวมไปถึงคำอ้างอิง ในพระคำภีร์ที่มีข้อความ ที่ไม่เห็นด้วยกับการรักร่วมเพศ หรืออีกคำหนึ่งคือ การปิดกั้นทั้งหมด ต่อการวิพากวิจารณ์ โดยใช้กฏหมายเป็นกำลัง นี่เป็นเรื่องที่สำคัญ ในประเทศแคนาดา และบางส่วนของประเทศสแกนดิเนเวีย”

ดังนั้นทุกวันนี้ ขอให้ความทุกข์ จงเกิดขึ้นกับนักข่าว ที่กล้าแสดงความคิดเห็น ที่บิดเบือนความจริง ที่ต้องการผลทางการเมือง มันสามารถทำให้อาชีพของ คนบางคนพังทลายลง ในสวีเดนเหตุการณ์ยิ่งแย่กว่า ในประเทศอเมริกา เพราะฉะนั้น ผมไม่แปลกใจเลยว่า ที่สถานีโทรทัศน์ในสวีเดน (SVT ซึ่งได้รับสัมปทานผูกขาด ที่ได้รับเงินสนับสนุนด้วยการ เก็บเงินค่าสมาชิก ใบอนุญาตภาคบังคับ) ซึ่งได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ “รางวัลสายรุ้ง” (Rainbow Reward) ที่ได้ส่งเสริมวาระชองตัวเขาเอง อย่างประสบความสำเร็จที่สุด

ในทางเดียวกันนี้ มันเป็นที่เข้าใจได้ว่า นักข่าวและคนในวงการบันเทิง ที่ทำงานอยู่ในสื่อสารมวลชน หรือในธุรกิจวงการบันเทิง ทำงานนอกเวลา เพื่อที่จะให้คนอื่นยอมรับถึง วิถีการดำเนินชีวิตของพวกเขา ใครบ้างที่ไม่ต้องการ ให้คนอื่นยอมรับ? มันน่าเศร้ามากที่มันกำลังเกิดขึ้น จากการเสียสละของเยาวชนที่อ่อนแอ และไม่มั่นคง และก็ฝ่าฝืนละเมิดสิทธิของ ผู้ปกครองที่จะได้รับความจริง

สิ่งที่ปรากฏขึ้น ในการประชุมสัมมนาในปี ค.ศ. 1996 ในหัวข้อเรื่อง “ทัศนคติทางเพศ” (sexual orientation) คือการแจ้งข่าวที่ดีมาก ที่ทำให้เห็นภาพของวิธีการ และกำลังดำเนิการอยู่ มีนักวิจัยคนหนึ่งชื่อ Mr. Scott Hersherger ให้คำแนะนำว่า ศาลสถิตยุติธรรม จะได้รับแรงกดดันอย่างมาก ที่จะสนับสนุนค้ำจุน การที่จะเลือกที่รักมักที่ชังต่อกลุ่มคน ถ้ากลุ่มคนนี้นถูกจำแนก แยกแยะโดยทางชีวภาพ แทนที่จะเป็นนิสัยสันดาน ทางความประพฤติ เขาพูดต่อฝูงชน ที่ให้ความเมตตาเขาว่า “การสำรวจแสดงความคิดเห็น บวกกับการค้นคว้าวิจัย ที่ได้จากการทดลอง หรือสังเกตุการณ์ ซึ่งได้บอกเราไว้อยู่เสมอว่า มีการสัมพันธ์ควบคู่กัน ที่เป็นผลบวกระหว่างความเชื่อ ของคนในนิสัยสันดาน ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และการยอมรับอุปนิสัยนั้น ดังนั้น ถ้าบุคคลเชื่อมากเท่าไรว่า การรักร่วมเพศ หรือการเบี่ยงเบนทางเพศ เป็นด้านชีวภาพ เขาหรือเธอก็จะรู้สึกในด้านบวกมากเท่านั้น” ในอีกแง่มุมหนึ่ง ความหมายก็คือ : เรามาค้นคว้าวิจัย แล้วนำออกแสดงให้เห็นว่า “การรักร่วมเพศหรือการเบี่ยงเบนทางเพศ เป็นชีวภาพและไม่ใช่ทางเลือก ที่จะดำเนินวีถีชีวิต !” ดังนั้น ผมไม่แปลกใจเลยที่เรามี “วิทยาศาสตร์ที่น่าตลก” มากมายที่กำลังเข้ามาในชีวิตของเรา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อพยายาม ที่จะทำให้คนเชื่อถือ” ไม่ว่าการค้นคว้าวิจัยนั้นจะซื่อตรง ไม่เป็นเรื่องรองลงมา สำหรับเขาเหล่านั้น มันดูเหมือนกับการอธิบายต่าง ๆ นานาของ ความประพฤติของคนรักร่วมเพศ ที่ยอมรับกันในหมู่ “นักวิทยาศาสตร์” ในสาขาจิตวิทยา และพวกที่ถูกหลอกได้ง่าย อย่างพวกสื่อสารมวลชน และประชาชนทั่วไป ทั้งหมดนี้เพื่อเป็นข้อแก้ตัวว่า การเลือกดำเนินวิถีชีวิต ที่เป็นภัยต่อสังคมและต่อบุคคล แล้วพิจารณาถึงเงินทุนของการค้นคว้าวิจัยทั้งหมด (ที่มีแหล่งมาจากคนรักร่วมเพศ) ที่ทุ่มเทให้กับการค้นคว้าวิจัยประเภทนี้

กิจกรรมการค้นคว้าวิจัย ที่เกี่ยวกับการรักร่วมเพศ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้: 1) ทฤษฏีทางด้านจิตวิทยา และสิ่งแวดล้อม (Psychological/Environmental Theories) และ 2) ทฤษฏีทางด้านชีวภาพ (Biological Theories)

การสนทนาของเรา มาถึงจุดนี้ก็เกี่ยวกับ ทฤษฏีทางด้านจิตวิทยา และสิ่งแวดล้ม เราลองไปดูทฤษฏีทางด้านชีวภาพ ที่สามารถแบ่งออกเป็น การค้นคว้าย่อยใน 3 ทาง
-     ข้อสมมุติฐานของฮอร์โมน ของคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว (Adult hormonal hypothesis)

-  ข้อสมมุติฐานของพันธุกรรม (Genetic Hypotheses)

-  ข้อสมมุติฐานของฮอร์โมน ก่อนที่จะคลอดบุตร (Prenatal hormonal hypotheses)

ข้อสมมุติฐานของฮอร์โมน ของคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว (Adult hormonal hypothesis) มันเคยถูกคาดเดากัน ชั่วขณะหนึ่งว่า ความแตกต่างของฮอร์โมน ในเพศระหว่างผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม กับผู้ชายที่รักเพศเดียวกัน ที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว ตอนนี้ก็ได้ถูกแสดงออกมาแล้วว่า ไม่เป็นไปตามนั้น และทางตรวจสอบในสาขาวิชานี้ ไม่ตรงจุดไม่ตรงประเด็นในปัจจุบัน

ข้อสมมุติฐานของพันธุกรรม (Genetic Hypotheses) นี่เป็นสาขาวิชาของการค้นคว้า ที่ถูกให้ความสนใจมากที่สุด ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ดังนั้นเราจะเพ่งมองไปที่ สาขาวิชานี้โดยเฉพาะ และมันก็เป็นสาขาวิชา ที่ให้คำจำกัดความสามารถที่สรุปผลได้

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

2.    การวิจัยของ Kallman (Kallman)

ในการสอบสวนเกี่ยวกับ ความเป็นไปได้ของ ต้นเหตุทางพันธุกรรม ของการรักร่วมเพศ ในก่อนหน้านี้มีการศึกษาเกี่ยวกับ คู่แฝดที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และสำหรับเหตุผลที่ชัดเจนมาก มันเป็นที่รู้กันว่าคู่แฝด มีลักษณะ พิเศษเฉพาะร่วมกันมาตั้งแต่เกิด ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหนึ่งคู่แฝดมีตาสีน้ำตาล คู่แฝดอีกคนหนึ่ง ก็จะมีตาสีน้ำตาลด้วยเหมือนกัน และอื่น ๆ อีก ดังนั้น ถ้ามี “พันธุกรรมที่เป็นเกย์” คู่แฝดทั้ง 2 คนก็จะต้องได้รับไป และผลที่ออกมาก็จะมี ทัศนคติทางเพศที่เหมือนกัน และลองเดาดูว่าอะไร? นั่นเป็นสิ่งที่แน่ชัดการค้นคว้าวิจัยที่ Mr. Kallman ได้ค้นพบปี ค.ศ. 1952 ใน “หนังสือของโรคประสาท และทางสมอง” (Journal of Nervous and Mental Disease) เขาได้จัดพิมพ์ผลลัพธ์ที่แสดงไว้ 100% ที่มีอัตราสอดคล้องกัน สำหรับการรักร่วมเพศในคู่ฝาแฝด ดู (อ้างอิง REF.5); หน้า 71 มันเป็นชักชวนให้เชื่อในเวลานั้น ว่าเป็นหลักฐานขั้นสุดท้าย ที่ว่าต้นเหตุของการรักร่วมเพศ มาจาก “พันธุกรรม” มันมีเพียงปัญหาเดียว ในการค้นคว้าวิจัยนี้คือ มันเป็นของปลอม! มันไม่สามารถต้านทานต่อแรงตรวจสอบได้ ลองคิดดูซิว่าผลที่ตามมาก็คือ มันเป็นการง่ายที่จะ ระบุว่าในหมู่คนฝาแฝด ที่มีอยู่จำนวนมากมาย แต่เพียง 1 คนหรือ 1 คู่ มีการพัฒนาการ ไปสู่เป็นชายรัร่วมเพศ นี่เป็นหนึ่งในตัวอย่าง ของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ที่ไม่ซื่อตรงที่ได้ระบาด ในวงการวิจัยค้นคว้า เนื่องมาจากเป็นการวิจัยค้นคว้า ที่มีการเมืองแทรกแซง Mr. Kallman ปัจจุบันเป็นคนเสียชื่อเสียง และต่อมาได้อ้างอิงผลการวิจัยของเขา ว่าเป็น “สถิติที่ประดิษฐ์ขึ้นเอง”

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

3.    การวิจัยค้นคว้าของ Bailey-Pillard ปี ค.ศ. 1991 Bailey-Pillard (1991)

แต่ความสนใจ ในเรื่องเด็กฝาแฝดยังคงมีอยู่ มันอาจจะเป็นว่า มีพันธุกรรมที่ทำให้ผู้ชาย โน้มเอียงเป็นคนรักร่วมเพศ แต่ปัจจัยของสิ่งแวดล้อม ก็มีอิทธิพลเหมือนกัน ถึงแม้ว่า “อัตราการสอดคล้องกัน” ที่ชัดเจนไม่ 100% เท่ากับ Mr. Kallman ได้แนะนำไปแล้ว ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม มันควรจะมากกว่าอัตรา 2%-4% ที่สุ่มตรวจคู่ฝาแฝดที่ มีมูลฐานจากอัตราที่เป็นเปอร์เซ็นต์ของ ชายรักร่วมเพศภายในประชากรทั่วไป

จนถึงที่สุดการค้นคว้าศึกษา ในหัวข้อนี้ก็ถูกยกขึ้นมาทำอีก หนึ่งในนั้นคือ การศึกษาวิจัยในปี ค.ศ. 1991 ของ Mr. Michael Bailey จากมหาวิทยาลัย Northwestern University และ Mr. Richard Pillard จาก Boston University School of Medicine ในรายงานของเขาทั้งสอง ได้รับการโฆษณาบอกกล่าว อย่างแพร่หลาย (อ้างอิง REF.5); หน้า 72) และเป็นผู้ซึ่งพวกชายรักร่วมเพศ ที่วิ่งเต้นล๊อบบี้ยังคงอ้างอิง ในสื่อสารมวลชน เพื่อให้ประชาชนที่ถูกหลอกได้ง่าย Mr. Pillard เป็นพวกชายรักร่วมเพศ ในรายงานของเขาทั้งสองท่าน (อ้างอิง ref.17) เขาได้นำเสนอผลของการค้นคว้าได้ดังนี้

คู่ฝาแฝดที่เหมือนกัน (Monozygotic twins): 52% PC (29 ของ 56 = 52%)

คู่ฝาแฝดที่ไม่เหมือนกัน (Dizygotic twins): 22% PC (12 ของ 54 = 22%)

พี่น้องที่ไม่ใช่ฝาแฝด (Siblings that are not twins): 9% PC (13 ของ 142 = 9%)

พี่น้องที่ถูกนำมาเลี้ยง (ลูกเลี้ยง) (Adopted siblings): 11% PC (6 ของ 57 = 11%)

Mr. Bailey และ Mr. Pillard ใช้คำว่า PC ซึ่งหมายถึงการสอดคล้องกัน ซึ่งมีความหมายดังต่อไปนี้:

สำหรับคู่ฝาแฝดที่เหมือนกัน “52% PC” หมายความว่า 52% ของเด็กฝาแฝด ที่ผมจะแบ่งปันการเป็นคนรักร่วมเพศ ที่ตนเองชอบกับพี่ชาย หรือน้องชายของตน ดูครั้งแรกมันอาจจะ แสดงให้เห็นว่าจริงที่มี “พันธุกรรมของคนรักร่วมเพศ” ที่ว่า 52% สำหรับคู่ฝาแฝด ที่เกิดมาเหมือนกัน บอกกับเราว่า สำหรับคู่ฝาแฝดที่เกิดมาเหมือนกัน ที่มีการแยกแยะว่า เป็นคนรักร่วมเพศ มีโอกาส 52% ที่ฝาแฝดอีกคนหนึ่ง จะเป็นชายรักร่วมเพศ ตัวเลขนี้สูงกว่า 2%-4% เป็นอย่างมากที่เราคาดหวังได้ จากจำนวนเปอร์เซนต์ ของพวกชายรักร่วมเพศ ในประชากรทั่วไป ในเวลานั้น หลายคนมองผลการค้นคว้าว่า เป็นบทพิสูจน์ว่าเป็นพันธุกรรม อะไรที่ประชาชนยังไม่ทราบ แต่ถูกปกปิดโดย Mr. Pillard ซึ่งตามความจริงมี “ความโน้มเอียงของตัวอย่าง” ที่เด่นชัดมาก ผู้วิจัยค้นคว้าต่อมา ไม่สามารถแสดงผลลัพธ์ ที่คล้ายคลึงกันได้ หลังจากนั้นมันก็ ถูกเปิดเผยออกมาว่า Mr. Bailey และ Mr. Pillard ได้สรรหาสมาชิก ตัวอย่างจากประชาชน โดยการโฆษณาใน หนังสือรายสัปดาห์ของพวกเกย์ ที่บ่งบอกถึงการที่ ได้ตัวอย่างที่โน้มเอียง อย่างเห็นได้ชัด ในการค้นคว้าของเขาทั้งสองคน

มันสำคัญอย่างยิ่งที่ สิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมดนี้ ถูกเข้าใจอย่างถูกต้อง มันเป็นการสำคัญ สำหรับหมู่ชนชาวเกย์ ที่จะพิสูจน์ ข้อสมมุติฐาน ทางพันธุกรรมได้ 3 เหตุผลคือ: 1) ถ้าต้นเหตุของการรักร่วมเพศ เป็นพันธุกรรม สังคม ก็ไม่ควรเป็นห่วงเป็นใย เกี่ยวกับการที่ชายรักร่วมเพศ หาสมาชิกใหม่ โดยการชักจูงเด็หนุ่มสาว ให้เข้ามาเป็นพวก 2) ประมาณกว่า 10 เท่า ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับละเมิดทางเพศเด็ก ในหมู่ชายรักร่วมเพศ จะไม่เป็นเหตุ ให้เด็กโน้มเอียง เป็นคนรักร่วมเพศ ถ้ามันเกิดขึ้นมาจาก พันธุกรรมที่เป็นต้นเหตุ 3) มันจะมีการยอมรับกันทั่ว ๆ ไป ในวิถีการดำเนินชีวิตของพวกเกย์ เพราะว่ามันไม่ใช่ทางเลือก แต่เขาเหล่านั้นเกิดมาเป็นอย่างนั้น

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

4.    งานวิจัยของ Bailey-Dunne-Martin (ปี ค.ศ. 2000) (Bailey-Dunne-Martin 2000)

เพราะว่าชื่อเสียงของเขา อาจจะพังพินาศลง Mr. Bailey ก็ดำเนินการ โดยการศึกษาค้นคว้าอีกครั้งหนึ่ง โดยปราศจาก Mr. Pillard เข้ามาร่วมด้วย ครั้งนี้ Mr. Bailey ได้ร่วมมือกับ Mr. Dunne และ Martin สำหรับการค้นคว้าใหม่ทั้งหมด เกี่ยวกับลูกฝาแฝด ที่เกิดมาเหมือนกัน ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2000 พวกเขาก็ได้จัดพิมพ์สิ่งที่ได้ค้นคว้าลงใน “หนังสือเกี่ยวกับบุคคลิกภาพ และจิตวิทยาทางสังคม” (อ้างอิง Ref.24e) โดยได้เข้าไปดูและค้นคว้าใน “สมุดจดบันทึกฝาแฝด” ของประเทศออสเตรเลีย พวกเขาสามารถที่จะ ติดต่อกับฝาแฝดทุก ๆ คู่ได้ ในประเทศออสเตรเลีย และนี่ก็ได้กำจัดตัวอย่าง ที่โน้มเอียงก่อนหน้านี้ ให้หมดไป Mr. Bailey ได้อธิบายความหมายของ “การสอดคล้องกัน” ผลของการค้นคว้าวิจัยอันใหม่ เทียบกับการค้นคว้าครั้งแรกถูกแสดงในตารางนี้ (อ้างอิง REF. 5) - หน้า 76):

 

Bailey & Pillard

ผู้ชาย

Bailey etc

ออสเตรเลีย ผู้ชาย

Bailey & Pillard

ผู้หญิง

Bailey etc

ออสเตรเลีย ผู้หญิง

คู่ฝาแฝดที่เกิดมาเหมือนกัน

“29/56”

52% PC

3 ของ 27

20% PC

“34/71”

48% PC

3 ของ 22

24% PC

คู่ฝาแฝดที่เกิดมาไม่เหมือนกัน

“12/54”

22% PC

0 ของ 16

0% PC

“6/37”

16% PC

1 ของ 18

10% PC

ไม่ฝาแฝด

“13/142”

ไม่มี

“10/73”

ไม่มี

พี่น้องกัน

9% PC

รายงานแล้ว

14% PC

รายงานแล้ว

พี่น้องกันที่เป็นลูกเลี้ยง

“6/57”

11% PC

ไม่มีในรายงาน

“2/35”

6% PC

ไม่มีในรายงาน

สังเกตุจาก การตรวจสอบ ที่แตกต่างออกไปมาก ในการค้นคว้าวิจัยที่ (ไม่ถูกโน้มเอียง) เกี่ยวกับฝาแฝดในประเทศออกเตรเลียในหมู่ผู้ชาย Bailey ค้นพบว่าจากจำนวนำ 27 คู่ ของชายที่เป็นคู่ฝาแฝด ที่เกิดมาเหมือนกันเพียง 3 คน ที่มีพี่น้องเป็นชายรักร่วมเพศ ในอีกทางหนึ่ง : มันเป็นเพียงแค่ 3 ในจำนวนทั้งหมด 27 คู่ (หรือประมาณ 11%) ที่ชายรักร่วมเพศ ได้มีพี่น้องที่เป็นคู่แฝด เป็นชายรักร่วมเพศเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นแค่ 11% (= 3/27) ที่สอดคล้องกัน 20% “ที่สอดคล้องกัน” ที่ถูกบันทึก สำหรับการค้นคว้า ในผู้ชายของคนออสเตรเลีย ในตารางนี้ได้มาจาก Bailey, Dunne และ Martin ที่เป็นวิธีใหม่ในการนับคู่ฝาแฝดที่สอดคล้องกันทั้ง 2 ครั้ง ทั้งในการนับและการหาค่าเฉลี่ย ดังนั้นเราได้ 3+3=6 ในการนับและ 27+3=30 ในการหาค่าเฉลี่ย (6/30=20%) แต่เมื่อจุดประสงค์ ของการเปรียบเทียบ กับการค้นคว้าก่อนหน้านี้ เราต้องเปรียบเทียบ 29 ของ 56 (52%) ในการค้นคว้าของ Bailey-Pillard และ 3 ของ 27 (11%) ของการค้นคว้าของ Bailey-Dunne-Martin

เกี่ยวกับอัตราความถี่ ของการเป็นการคนรักร่วมเพศ ในประชากรทั้งหมด การสอดคล้องกันแค่ 11% ไม่ได้บ่งบอกว่ามาจาก อิทธิพลทางด้านพันธุกรรม แม้กระนั้นตัวเลข 11% เป็นตัวเลขที่สูงกว่า อัตราความถี่ของผู้ชายรักร่วมเพศ ในประชากรทั้งหมด เราต้องพิจารณาว่าคู่ฝาแฝด ที่เกิดมาเหมือนกันตามปกติ จะได้รับการอบรม และสภาพแวดล้อม ที่คล้ายคลึงกันมาก 11% (ขัดแย้งกับ 2%-4%) สามารถที่บอกเรื่องราว ได้อย่างง่ายดาย ผลของการค้นคว้าของ Bailey-Dunne-Martin บ่งบอกว่าการวินิจฉัยออกมาแล้ว มันไม่เกี่ยวข้องกับทางด้านพันธุกรรมเลย แต่กระนั้นก็ตามผลลัพธ์ ที่ออกมาใหม่นี้ ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกัน ในสื่อมวลชน ที่เคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว และเรื่องนี้ก็ถูกมองว่า เป็นการเมืองที่ยังไม่จบง่าย ๆ ทั้งหมดนี้ เรากำลังพูดเกี่ยวกับ “พันธุกรรมของเกย์ทางด้านวิทยาศาสตร์” (เป็นวิทยาศาสตร์ที่น่าตลก) ที่มีอยู่ในสังคมของเราทุกวันนี้ ความคิดเห็นเกี่ยวกับ “การใช้ภาษาหรือคำพูด ที่ไม่ไปกระทบกับกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่ง” ก็ได้รับสิทธิพิเศษก่อนความจริง ที่อ้างอิงได้ในทางวิทยาศาสตร์

การค้นคว้าของ Bailey-Dunne-Martin ไม่ได้ลังเลใจเลยที่จะ ตีแผ่การค้นคว้า จอมปลอมก่อนหน้านี้ โดย Bailey และเพื่อนร่วมงานคนก่อน Pillard ที่เป็นชายรักร่วมเพศ เขาได้บทสรุปของ การตรวจสอบ ที่เขาเขียนไว้ว่า “นี่เป็นการชี้ให้เห็นว่า การค้นคว้าก่อนหน้านี้ ถูกขยายออกไป เนื่องจากถูกโน้มเอียงอย่างชัดเจน” และพวกเขาก็เขียนเพิ่มเติมอีกว่า “การค้นคว้านี้ ไม่ได้ให้ความสำคัญ ของสถิติที่จะ สนับสนุนสำหรับปัจจัยสำคัญ ทางด้านพันธุกรรม สำหรับคนที่เบี่ยงเบนทางเพศ คนที่เป็นเกย์”

ดังนั้นการค้นคว้าโดย Bailey-Dunne-Martin ไม่ใช่เพียงแค่ไม่เห็นด้วย กับการค้นคว้าก่อนหน้านี้เท่านั้น แต่มันก็เป็นหลักฐาน ที่ชัดเจนว่า การเป็นคนรักร่วมเพศ ไม่ใช่ผลสืบเนื่องมาจาก พันธุกรรม

และนี่ก็ไม่ได้แยก ความเป็นไปได้ว่า พันธุกรรมอื่น อาจจะทำให้เกิด การพัฒนาของการเริ่มต้น ของการรักร่วมเพศในวัยเยาว์ ยกตัวอย่างเช่น เด็กผู้ชายที่เกิดมา ที่มีภาวะจิตใจที่อ่อนไหว อาจจะทนทุกข์ทรมานมากกว่า เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ ที่ถูกพ่อที่ไม่มีความรับผิดชอบทอดทิ้ง ซึ่งในทางกลับกัน ทำให้เขาอ่อนแอไ ม่มั่นคงต่อการสับสนทางเพศ และก็เป็นโรคการจำแนกเพศที่บกพร่อง (GID) ที่เราได้พูดกันมาก่อนหน้านี้ ความเหมือนกันก็คือ เด็กผู้ชายที่เกิดมา มีพันธุกรรมที่ทำให้เขาสูงมาก มีโอกาสสูงที่จะ กลายมาเป็นคนเล่นบาสเก็ตบอลที่ดีได้ แต่ถ้าไม่ตัดสินใจตั้งแต่แรก ที่จะเล่นบาสเก็ตบอล เขาก็ไม่เล่นอยู่ดี

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

5.    การค้นคว้าที่จอมปลอมอีกชิ้นหนึ่ง (Hamer, Hu, Magnusson, Hu and Pattatucci)

ที่จริงแล้วก่อนที่การค้นคว้าของ Bailey-Dunne-Martin ในปี ค.ศ. 2000 ที่กล่าวอ้างว่าการค้นคว้าก่อนหน้านี้ผิด (ของ Bailey-Pillard) มีการค้นคว้าปลอมอีกชิ้นหนึ่ง ที่ถูกทำการทดลอง อย่างไรก็ตามการค้นคว้าของ Bailey-Pillard และการค้นคว้าของ Bailey-Dunne-Martin ในเรื่องเกี่ยวกับคู่ฝาแฝด ที่เกิดมาเหมือนกัน ของอยู่ในสาขาวิชาของ “การค้นคว้าพันธุกรรมทางอ้อม” ในการค้นคว้าในปี ค.ศ. 1993 อยู่ในสาขาวิชาของ “การค้นคว้าทางพันธุกรรมโดยตรง” ในปีนั้น Hamer, Hu, Magnusson, Hu และ Pattatucci ได้พิมพ์หนังสือ ในคู่มือของทางวิทยาศาสตร์ ผลของการค้นคว้าพันธุกรรม โดยทางตรงมีชื่อว่า “การเกี่ยวข้องกันเชื่อมต่อระหว่างตัวผลิต DNA ที่เกี่ยวกับโครโมโซมเอ็กซ์ ที่เป็นตัวทำหนดพันธุกรรม และการเบี่ยงเบนทางเพศของผู้ชาย” (อ้างอิง REF.1); หน้า 110-113 และ (อ้างอิง REF.5); หน้า 79-83] การค้นคว้านี้ ก็ได้ถูกนำข่าวมาแจ้ง โดยกระทันหัน ในสื่อสารมวลชน ว่าเป็นการ “ค้นพบพันธุกรรมของเกย์” และหลาย ๆ คนในขณะนั้น ได้สรุปลงความเห็นว่า วิทยาศาสตร์ได้ “พิสูจน์” ว่าการเป็นคนรักร่วมเพศ เป็นผลมาจากพันธุกรรม โปรดจำไว้ว่านี่เป็นปี ค.ศ.1993, 7 ปีก่อนที่ Bailey และเพื่อน ๆ จะค้นคว้าเกี่ยวกับ คู่ฝาแฝดในประเทศออสเตรเลีย ที่สรุปออกมาว่า ไม่มีการค้นพบว่า มีพันธุกรรมของเกย์ อย่างที่ได้ปรากฏออกมาว่า

Hammer ถูกสอบสวนโดย “สถาบันการค้นคว้า ที่ยึดถือหลักคุณธรรม” ที่กระทรวงสาธารณสุขและบริการสังคม สำหรับการรายงาน “ที่เลือกปฏิบัติในรายงานข้อมูลของเขา” (อ้างอิง REF.1) หน้า 113) อย่างไรก็ดี ไม่มีการโฆษณา หนังสือพิมพ์ เมื่อสิ่งนี้ถูก เปิดเผยออกมา มีคนจำนวนมาก ที่ทุกวันนี้ยังคงอยู่ ภายใต้ความรู้สึกว่า “พันธุกรรมของเกย์” ถูกค้นพบและที่ว่า การเป็นคนรักร่วมเพศนั้น มาจากกรรมพันธุ์ เพราะว่าความโกหกนี้ ถูกแพร่ขยายไปมาก เราลองดูให้ใกล้อีกนิด ในงานค้นคว้าโดย Hammer และเพื่อน ๆ

Hammer และเพื่อน รวมทีมได้สรรหา สมาชิกใหม่เป็นกลุ่มคน 76 คน ที่เป็นชายรักร่วมเพศ จากโครงการรักษาโรคเอดส์ ทุกคนอ้างว่า เขามีพี่น้อง ที่เป็นชายรักร่วมเพศอย่างน้อย 1 คน และมีแบบอย่าง ที่เด่นชัดของการเบี่ยงเบนทางเพศ จากทางลุงทางฝ่ายแม่ แต่ไม่ใช่จากลุงทางฝ่ายพ่อ การสมมุติฐานของ Hammer และเพื่อน ๆ ที่ว่าควรที่จะสะท้อนถึงพันธุกรรมจากเอ็กซ์ โครโมโซมที่เป็นกำหนดพันธุกรรม อย่างที่คุณได้รู้กันว่าคนเราได้เอ็กซ์โครโมโซม จากหนึ่งในสอง โครโมโซมเอ็กซ์จากแม่ของเขา และวายโครโมโซมของเขา ได้มากจากพ่อ และถ้าแม่ไมใช่คนรักร่วมเพศ มันก็ถูกคาดเดาว่า มันอาจจะเป็นหนึ่งในสอง ของโครโมโซมเอ็กซ์ที่มีพันธุกรรมของเกย์ และอีกครื่งหนึ่งไม่มีแต่ในตัวอย่างของ 40 คู่ ของชายรักร่วมเพศ ที่เป็นพี่น้องกัน ไม่เป็นเพียงแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น แต่จะเป็น 33 ของทั้งหมดที่มีเอ็กซ์โครโมโซม ที่มีการเปลี่ยนแปลงของ 28 พันธุกรรม ที่มีรูปแบบที่ปกติทั่วไป ถ้าจำนวนตัวเลขนี้ (33) ได้เกินความคาดหมาย (โดยสุ่มตรวจ) 50% เขาสมมุติว่า พันธุกรรมที่ว่านี้ มีอยู่ในผู้ชายที่เบี่ยงเบนทางเพศ อย่างไรก็ตาม ยังมี 7 คู่ของผู้ชายรักร่วมเพศที่ปราศจากการ “ทำเครื่องหมาย” ไว้ในพันธุกรรม

ถ้าการตรวจสอบนี้ เป็นความจริงและซื่อตรง และดังนั้นควรที่จะ ค้นคว้าเพิ่มเติมในเวลาต่อมา ผลสรุปที่สามารถทำได้ ก็ยังคงจะมีความจำกัด ในที่นี้ : รูปแบบของโครโมโซม โดยเฉพาะอันนี้ ไม่มีความจำเป็น หรือเพียงพอ ที่จะทำให้เกิดการเป็นคนรักร่วมเพศ มันไม่มีความจำเป็นเพราะว่า 7 ใน 40 คู่ ของคนรักร่วมเพศไม่มีรูปแบบอย่างนี้ และมันก็ไม่เพียงพอ เพราะว่าการค้นคว้าต่อมาโดย Hammer และเพื่อน ๆ แสดงออกมาว่าพวกผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม ที่มีพี่น้องเหล่านี้ ได้มีพันธุกรรมเหมือนกัน ที่ทำเครื่องหมายไว้ว่า q28 การทำเครื่องหมายเช่นนี้ และการเชื่อมต่อกัน ซึ่งเป็นคำจำกัดความ ที่ยอมรับได้ยากกว่ามี “พันธุกรรมของเกย์” แต่มันสามารถที่จะ โต้เถียงได้ว่ามันอาจจะ มีลักษณะพิเศษอื่น ๆ บางอย่างที่มีความสัมพันธ์กับ การทำเครื่องหมายพันธุกรรม โดยเฉพาะอันนี้ที่ต่อเชื่อมกับคน ลักษณะพิเศษของคนในอีกครอบครัวหนึ่ง ที่ทำให้บุคคลโน้มเอียงที่ไม่มั่นคง และอ่อนแอให้กลายเป็นชายรักร่วมเพศ ยกตัวอย่างเช่น บุคคลมีพันธุกรรม ที่ว่านี้ทำเครื่องหมายไว้ อาจจะมีการโน้มเอียง ของพันธุกรรมต่อพฤติกรรม ของการค้นหาสิ่งแปลกใหม่ หรืออะไรก็ตาม ใครจะไปรู้ว่ามันจะเป็นอะไร?

อย่างที่จะกลายเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่ง การค้นคว้าโดย Hammer และเพื่อน ๆ ก็เป็นตัวอย่าง อีกอันหนึ่งของการหลอกลวง ด้วยการเล่นกับตัวเลขคือ การปรับปรุงแก้ไขตัวเลข หลังจากที่ Hammer และเพื่อน ๆ ได้พิมพ์ลงในการพิมพ์ในทางวิทยาศาสตร์ ทางนักวิจัยค้นคว้าจากมหาวิทยาลัย Yale Columiba และ Louisiana State Universities ก็ได้ออกมาพิสูจน์หลักฐาน ที่หักล้างกัน และได้นำลงพิมพ์ในหนังสือทางด้านวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกัน พวกเขาเขียนไว้หลายอย่าง (อ้างอิง REF.1) หน้า 111-112] :

“ผลของการค้นคว้าไม่เห็นพ้องกับอะไร ที่เกี่ยวกับพันธุกรรมโดยโครงสร้าง --- และการแตกต่างกันระหว่าง การรักร่วมเพศของลุงทางฝ่ายแม่ กับลุงทางฝ่ายพ่อ เป็นสิ่งที่ไม่มีความสำคัญ ทางด้านสถิติ --- ตัวอย่างขนาดเล็กนี้ ทำให้ข้อมูลที่เข้ากันได้กับ ลำดับของพันธุกรรมที่เป็นไปได้ และข้อสมมุติฐานทางสิ่งแวดล้อม”

คนที่สนใจวิทยาศาสตร์ คือว่า ถ้าการทดลอง ไม่สามารถจะทำต่อไป (ทำสำเนาและถอดแบบ) มันไม่เข้าข่าย ของบรรทัดฐานสำหรับการ “ตรวจสอบ” หรือ “การค้นพบ” และผู้ค้นคว้าอื่น ๆ ก็ได้พยายาม แต่ไม่สำเร็จที่จะถอดแบบการค้นคว้าโดย Hammer และเพื่อน ๆ มีการศึกษาครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1999 เกี่ยวข้องกับตัวอย่างของพี่น้องกัน ที่เป็นเกย์ 52 คู่ ทีมนี้มี Rice, Anderson, Risch และ Ebers จ้องลึกลงไป ที่การทำเครื่องหมายโครโมโซม ที่มีตัวกำหนดลักษณะพันธุกรรม 4 ชนิด ที่อยู่ในกลุ่มพันธุกรรมเดียวกัน แต่ไม่พบความสัมพันธ์ เกี่ยวกับการเบี่ยงเบนทางเพศ ในคู่มือทางวิทยาศาสตร์ (วันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1999) หน้า 666 เขียนไว้ว่า : “มันไม่แน่ชัดว่า ทำไมผลของการค้นคว้าของเราจึงไม่ตรงกัน การค้นว้าเดิมของ Hammer เพราะว่าการค้นคว้าของเรา กว้างขวางกว่าของ Hammer และเพื่อน ๆ เราได้มีกำลังที่พอเพียง ในการตรวจพบพันธุกรรมที่บกพร่อง ตามรายงานไว้ในการค้นคว้า อย่างไรก็ตาม ข้อมูลของเรา ไม่ได้สนับสนุน การปรากฏตัวของพันธุกรรม ในขนาดที่ใหญ่ที่มีผล และอิทธิพลต่อการเบี่ยงเบนทางเพศ ที่ทำเครื่องหมาย Xq28” การแสดงเครื่องหมาย” Xq28” เป็นเครื่องหมายของพันธุกรรม q28 ในโครโมโซมเอ็กซ์ ทีมนักวิจัยได้ใช้เวลาอย่างมาก และความพยายาม พวกเขาก็ยังสงสัยว่า ทำผลที่ออกมา “ไม่ตรงกันอย่างมากกับของ Hammer” อย่างที่ผมได้กล่าวไว้แล้ว “สำนักงานค้นคว้าวิจัยที่มีคุณธรรม” ในเวลาต่อมาได้เข้าไปสอบสวน Hammer สำหรับการ “เลือกปฏิบัติในการรายงาน ข้อมูลของเขา” นี่คือตัวอย่างอีกอันหนึ่ง ของปัญญาชนที่ไม่ซื่อสัตย์! ทั้งหมดนั้นก็เพื่อที่จะ ทำให้วาระชายรักร่วมเพศ มีความต่อเนื่องกัน อย่างที่ได้แนะนำไปก่อนหน้านี้แล้ว (ปี ค.ศ. 1991) โดย Kirk และ Madsen (ดูเรื่องที่ถูกปกปิดเรื่องที่ 1 บทแนะนำ)

ดังนั้น อีก 1 ปีต่อมา เดือนมีนาคม ค.ศ. 2000 การค้นคว้าของ Bailey-Dunne-Martin ก็ได้ออกมาซึ่งการค้นคว้า เกี่ยวกับคู่ฝาแฝดที่เกิดมาเหมือนกัน ในประเทศออสเตรเลีย ที่ได้พิสูจน์ว่า Hammer กล่าวอ้างผิดเกินความจริง เกี่ยวกับข้อสมมุติฐานของเขาอย่างถาวร และทฤษฏีเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของ “พันธุกรรมของเกย์” และได้บทสรุปที่สิ้นสุด ของการโต้เถียงกัน ทางด้านวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่ไม่ได้หมายความว่า การเคลื่อนไหว และการเมืองเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้จบลงแล้ว ทั้งหมดนี้พวกเรากำลังพูดถึง “พันธุกรรมของเกย์ทางด้านวิทยาศาสตร์” (วิทยาศาสตร์ที่ตลก” และได้อยู่กับเราในสังคมปัจจุบันนี้ ความคิดเห็นเกี่ยวกับ “การพูดที่ไม่ไปกระทบกับคนอีกกลุ่มหนี่ง” หรือกระแสหลักทางการเมือง ที่ถูกต้องในเวลานี้ ที่ต้องมาก่อนการค้นคว้า ที่มีความจริงทางด้านวิทยาศาสตร์ เพราะว่ารายการที่หลอกลวงของ Hammer ยังคงถูกโฆษณาในหนังสือพิมพ์ว่าเป็นความจริง และที่ว่าการเชื่อมกันของพันธุกรรม กับการรักร่วมเพศถูกยกย่องสรรเสริญ คุณจะพบได้ในลิงค์นี้ (อ้างอิง No.5): “บทวิจารณ์ของการค้นคว้าของ Hammer”) ถ้าคุณมีเวลาและความพยายาม ที่จะขุดลงไปในการวิเคราะห์ คุณจะพบว่ามันช่างเป็นการ “ค้นคว้าที่ตลก” ที่เรากำลังพูดถึงอยู่

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

6.    งานวิจัยของ Bearman-Bruckner (ปี ค.ศ. 2001) (Bearman-Bruckner 2001)

ประมาณ 1 ปีหลังจาก Bailey-Dunne-Martin ได้ค้นคว้าวิจัย และได้ตีแผ่การค้นคว้าจอมปลอม ของ Bailey-Pillard ยังมีนักวิจัยอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ได้บทสรุปที่เหมือนกัน ทีมของการวิจัยนำโดย Bearman จาก Columbia University และ Brucker จาก Yale University ที่ได้ค้นคว้าคู่แฝดประมาณ 5,552 คู่ ที่เป็นพี่น้องกัน ในการค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่อง “คู่แฝดที่มีเพศตรงข้าม และวัยหนุ่มสาว ที่มีความสนใจความดึงดูด ต่อเพศเดียวกัน” พิมพ์ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2001 พวกเขาได้ตรวจสอบ ทฤษฏีที่แตกต่างกัน และปัจจัยเกี่ยวกับอะไร เป็นต้นเหตุของการรักร่วมเพศ (ปัจจัยทางสังคม ฮอร์โมน พันธุกรรมและการวิวัฒนาการ) พวกเขาได้สัมภาษณ์ ทั้งคู่แฝดที่เกิดมาเหมือนกัน และคู่แฝดที่เกิดมาไม่เหมือนกัน พี่น้องกัน ลูกพี่ลูกน้องกัน และพี่น้อง ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ทางสายเลือด พวกเขาได้เพ่งเล็งไปทั้งคู่แฝด ที่เกิดมาไม่เหมือนกัน ที่มีเพศเดียวกัน และต่างเพศกัน ผลออกมาเป็น บทสรุปที่แท้จริง ที่เป็นหลักฐานว่า ไม่มีอิทธิพลทางพันธุกรรม ในการพัฒนาการของคนรักร่วมเพศ สำหรับคู่แฝดที่เกิดมาเหมือนกัน เฉพาะผู้ชาย ค่าของ PC ของความสอดคล้องกันมีตัวเลขที่ 7.7% ซึ่งเป็นอะไรที่ใกล้เคียงกับ 11% PC ในการค้นคว้าของ Bailey-Dunne-Martin และก็เป็นอะไรที่ไกลจาก 52% ของการค้นคว้าจอมปลอมในปี ค.ศ. 1991 ของ Bailey และ Pillard ไม่ว่าตัวเลขจะอยู่ที่ 11% หรือ 7.7% มันก็จะเป็นหลักฐาน ที่ชัดเจนว่า ไม่มีปัจจัยของพันธุกรรม ที่มองเห็นเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

Bearman และ Bruckner ที่มีการวิจัยออกมาคล้ายคลึงกับ Bailey-Dunne-Martin ได้เขียนเกี่ยวกับการค้นคว้าของ Bailey-Pillard ไว้ดังต่อไปนี้:

“เป็นที่สำคัญ ที่ความสอดคล้องกัน ที่สูงกว่า ในการเบี่ยงเบนทางเพศ ที่ถูกรายงานในการค้นคว้า ก่อนหน้านี้ พวกเราเชื่อว่าการค้นคว้ าก่อนหน้านี้ ผิดพลาดมากไม่ถูกต้อง ซึ่งมีผลจากการหา ตัวอย่างจากผู้อ่าน ในหนังสือรายสัปดาห์ ของพวกเกย์ และไว้วางใจในหลักฐาน ที่ไม่ตรงกลุ่มตัวอย่าง” นี่เป็นการพูดอย่างสุภาพ ว่าการค้นคว้าของ Bailey-Pillard เป็นการกล่าวอ้างที่ผิด พวกเขาเรียกวิทยาศาสตร์ ที่น่าตลกของ Bailey-Pillard ว่า “การค้นคว้าวิจัยก่อนหน้านี้” สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายงานของ Bearman-Bruckner ดู (อ้างอิง ref.25)

แต่ที่น่าแปลกใจอย่างยิ่ง นอกจากการกล่าวอ้างที่ผิดในการวิจัยของ Bailey-Pillard แล้ว พวกล๊อบบี้ชายรักร่วมเพศ ก็ยังคงอ้างอิงมันต่อไป และหลักของพวกหนังสือพิมพ์ ก็ยังหาเงื่อนงำเบาะแสไม่เจอเลย

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

7.    งานวิจัยของ Simon LeVay (ในปี ค.ศ. 1991) (Simon LeVay 1991)

ข้อมูลภูมหลัง

ในปีเดียวกันที่การวิจัยค้นคว้าจอมปลอมของ Bailey-Pillard ถูกตีพิมพ์ การวิจัยค้นคว้าโดย Simon LeVay ก็ได้รับการตีพิมพ์ที่โด่งดัง ให้ดู (อ้างอิง ref.26) สำหรับการสนทนาในรายงานของเขาให้ดู (อ้างอิง REF.5) หน้า 67-70)

Simon VeVay เป็นนักวิจัยอีกคนหนึ่ง ที่เป็นชายรักร่วมเพศ เขาเป็นนักชีวภาพทางด้านสมอง ที่มหาวิทยาลัย Salk Institute ในรัฐแคลิฟลอร์เนีย การตรวจสอบของเขาในปี ค.ศ. 1991 ทำให้เขาเป็นคนโด่งดัง และมีชื่อเสียงในชั่วข้ามคืน Simon VeVay ดูเหมือนว่า จะเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจคน และเป็นนักวิทยาศาสตร์ ที่มีคุณสมบัติที่ดี แต่มีนักวิจัยคนอื่น ที่ยังสงสัยในตัวเขา อย่างเช่น Joan Rougharden เป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัย Stanford University ที่เขียนไว้ว่า “LeVay เป็นนักวิชาการตัวจิ๋ว ที่ไม่เคยประสบครวามสำเร็จ ในตำแหน่งของตน และการค้นคว้าที่ผ่านมา ก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นอย่างนั้น อย่างไรก็ดีชื่อของเขา ก็ได้รับการยกย่องในแวดวงของนักวิชาการ เยี่ยงนักเขียนของที่นิยามกันทั่วไป เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ที่ประหลาดพิกล LeVay ได้รับผลทางการเงินที่น่าสงสัย ที่ทำให้เขามีฐานะอย่างผู้เชี่ยวชาญ ที่เก่งทางด้านเกี่ยวกับพวกเกย์” Rougharden ที่ได้คัดค้านที่จะเชิญเขา ซึ่งเป็นตัวแทนของสมาคมรักผู้ชาย – เด็กชายในทวีปอเมริกาเหนือ ที่เป็นองค์กรหลัก ในประเทศอเมริกา ที่ส่งเสริม การมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก NAMBLA (North-American Man Boy Love Association) ให้มาพูดที่มหาวิทยาลัย Standford LeVay เอง เป็นคนที่ระมัดระวังมาก เกี่ยวกับบทสรุปของ การค้นคว้าของเขา คนอื่นโดยเฉพาะคนของหนังสือพิมพ์ ที่ชอบทำตัวไปตาม กระแสการเมือง ทำให้เป็นเรื่องเร่งด่วน เกี่ยวกับการตรวจสอบ ที่พิสูจน์ว่ามีการเชื่อมต่อ ระหว่างการรักร่วมเพศกับพันธุกรรม หรือจากฮอร์โมนตั้งแต่เกิด เราได้อ้างอิงสิ่งที่ Scott Hersherger ได้กล่าวไว้ในการสัมมนา (ดูข้างบน):

“การสำรวจความเห็นประชากร บวกกับการวิจัยที่ได้มาจากประสบการณ์ ได้บอกเราเสมอว่ามีความสัมพันธ์กัน ทางด้านบวกระหว่างความเชื่อของคน ในความไม่เปลี่ยนแปลงของอุปนิสัย และการยอมรับของอุปนิสัยนั้น ดังนั้นถ้าบุคคลเชื่อมากเท่าไร ว่ารักร่วมเพศหรือการเบี่ยงเบนทางเพศ เป็นเรื่องทางชีวภาพแล้ว เขา – เธอก็จะรู้สึกเป็นผลบวกมากเท่านั้น”

อคติที่ประกอบเสร็จอยู่ภายใน? (Built-in Bias?)

เป็นผลต่อมาจากการรายงานของเขา และมีชื่อเสียงของเขาในปี ค.ศ. 1991 LeVay ดูเหมือนจะกลายเป็นคนที่ ไม่ค่อยเจียมตัว เกี่ยวกับผลการวิจัยที่สำคัญ เขาได้เคลื่อนตัวจากคนที่สำรวม และนักค้นคว้าที่มีความคิด มาเป็นอะไรที่เกี่ยวกับ กิจกรรมรณรงค์ ของชายรักร่วมเพศ ในปีค.ศ. 1992 เขาได้ลาออกจากการค้นคว้า ที่มหาวิทยาลัย Salk และมาเป็นผู้ก่อตั้งของสถาบัน West Hollywood Institute of Gay & Lesbian Education LeVay ได้ให้เหตุผลทางอารมณ์ และเหตุผลส่วนตัว ว่าทำไมเขา ถึงได้ค้นคว้าตั้งแต่แรก ในคำสัมภาษณ์มีความว่า:

“ผมได้รู้ว่า ตัวเองเป็นเกย์ ตั้งแต่ผมอายุ 13 ขวบ เป็นเกย์อย่างผม ผมมีความกระตุ้น ที่จะทำการค้นคว้านี้ ถ้าผมไม่ทำ ก็ไม่มีใคร ที่จะเร่งรีบทำมัน และเป็นนักวิทยาศาสตร์ ผมรู้ว่า มันเป็นค้นคว้า ที่ผมมีคุณสมบัติ --- สิ่งที่ทำให้ เขาเปลี่ยนทิศทาง ของการค้นคว้าของเขา เพราะว่าเพื่อนเขาชื่อ Richard ซี่งเป็นหมอ ที่ทำงานในห้องฉุกเฉิน ตายด้วยโรคเอดส์ หลังจากที่ได้ต่อสู้มา 4 ปี เขาพูดต่อว่า “ผมและ Richard อยู่ด้วยกัน 21 ปี ผมได้ดูแลเขา แล้วผมก็ได้ตัดสินใจที่จะ ทำอะไรบางอย่าง ที่แตกต่างในชีวิตของผม คุณได้ทราบแล้วว่า ชีวิตนั้นสั้น และคุณก็ต้องคิดว่าอะไรที่สำคัญ และอะไรที่ไม่สำคัญ ผมมีความต้องการในทางอารมณ์ ที่จะทำบางอย่างเป็นเรื่องส่วนตัว บางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับ ความเป็นเกย์ที่เป็นตัวตนของผม”

และในการให้สัมภาษณ์กับ Newsweek LeVay กล่าวว่า หลังจากคู่รักของเขาตาย เขามีความตั้งใจที่จะค้นหาพันธุกรรม ที่เป็นต้นตอของการรักร่วมเพศ หรือไม่ก็ทอดทิ้ง วิชาวิทยาศาสตร์ไปเลย เขายอมรับว่า เขาอยากที่จะ ให้ความรู้กับสังคม เกี่ยวกับการรักร่วมเพศ ผลกระทบทางด้านกฏหมาย และการวางตัวทางศาสนา

ในการสัมภาษณ์อีกครั้งหนึ่ง เขาอ้างอิงถึงความฉาวโฉ่ และการค้นคว้าจอมปลอมโดย Bailey-Pillard และ Hammer กับเพื่อน ๆ นี่เป็นสิ่งที่เขาเขียนไว้ใน Discover March’94 เรื่อง “เรื่องของเพศและทางสมอง” เขียนไว้ว่า:

“ความจริงแล้ว LeVay ได้สงสัยตั้งนานแล้วว่า การรักร่วมเพศวนเวียน อยู่ในครอบครัว และมีส่วนประกอบ ที่ได้รับตกทอดกันมา ความสงสัยนี้ถูกเสริมกำลัง โดยการค้นคว้า เมื่อไม่นานมานี้ เกี่ยวกับคู่แฝด โดยนักจิตตวิทยา Michael Bailey จาก Northwestern University และจิตแพทย์ Richard Pillard จาก Boston University การค้นคว้าแสดงให้เห็นว่า คู่ฝาแฝดที่เกิดมาเหมือนกัน - ที่มีพันธุกรรมร่วมกัน – จะเป็น 2 เท่าที่เป็นไปได้ว่าทั้ง 2 คน จะเป็นเกย์หรือเลสเบี้ยน ที่เป็นคู่ฝาแฝดที่เป็นพี่น้องกัน ผู้ซึ่งมีส่วนร่วม ในการอบรมมา แต่ไม่ใช่จากพันธุกรรม พวกเขาจะมีโอกาสเป็น 5 เท่าที่เป็นไปได้ว่า ทั้งคู่จะเป็นเกย์มากกว่าลูกบุญธรรม ที่มีส่วนร่วม ในการอบรมมา แต่ไม่ใช่มาจากพันธุกรรม “นี่ก็บ่งบอกให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คำอธิบายทางด้านพันธุกรรม สำหรับส่วนเล็ก ๆ ที่สำคัญ จากสาเหตุทั้งหมด” เขาโชว์รูปของครอบครัวของเขา และพี่น้องชาย 4 คน และเขาพูดว่า “พวกเราเป็นเกย์ 2 คนครึ่ง” เขาพูดต่อว่า พี่ชายคนหนึ่งของเขาเป็น bisexual (คือรักได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง) “คุณรู้ไหม พ่อของผมไม่เคยมีความสุขและที่รู้ว่าผมเป็นเกย์ พ่อผมไม่เคยเห็นด้วยเพราะว่าลูก ๆ ทุกคนจากการแต่งงานครั้งที่ 2 ของเขาเป็นผู้ชายแท้ ๆ เขายืนยันว่าทั้งหมด มันสืบทอดกัน มาจากฝ่ายครอบครัว ของแม่ของเรา”

การสัมภาษณ์ได้ดำเนินต่อไป :

“LeVay ชี้ให้เห็นว่าทีมของ Hammer ในสถาบันสาธารณสุขแห่งชาติ ได้ค้นพบโครโมโซมเอ็กซ์ของเกย์ ที่เป็นพี่น้องกัน ที่อาจจะปรากฏผลที่ประกอบด้วยพันธุกรรมเกย์ โครโมโซมเอ็กซ์ จะเป็นพันธุกรรมของแม่ ที่สนับสนุนให้ลูกชายเสมอ แต่พันธุกรรมในที่ว่านี้ อาจจะทำให้บางคนเป็นเกย์ ยังคงไว้ให้พวกเรา ได้คาดเดากัน ; มันอาจจะมีอิทธิพลต่ออะไร ที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ หรือทางโครงสร้างเรื่องของเพศศึกษา ที่ก่อตัวขึ้นในสมองส่วนหน้ าที่เป็นพื้นของผนังข้าง ของห้องสมองที่สาม เมื่อมันมาเกี่ยวข้องกับความดึงดูด ความประทับใจทางเพศ และทางพฤติกรรมทางเพศ มนุษย์ทั้งหมดก็จะถูก ทำให้เป็นรูปร่างขึ้นในมดลูก “มีบางสิ่งบางอย่าง ที่แตกต่างกำลังเกิดขึ้น เมื่อสมองของเกย์รวบรวมตัวเอง ในการเป็นทารกในครรภ์” เขาพูดต่อว่า “ถ้าจะให้ผมพนันด้วยเงิน ผมคิดว่า มันเป็นการทำปฏิกริยากัน ของฮอร์โมนทางเพศกับสมอง มันอาจจะเป็นการแตกต่างกันทางพันธุกรรม ในส่วนที่รับรู้ของเซลในสมองของทารก ที่มีการตอบสนองต่อฮอร์โมนทางเพศอย่างเช่น ฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะ”

มันเป็นการดูไม่ดี ที่จะสงสัยหรือท้วงติง นักวิจัยค้นคว้า ที่เป็นชายรักร่วมเพศ ถึงความซื่อสัตย์ และการมีศีลธรรม ในการค้นคว้าของเขา แต่อย่างที่เราได้เห็นมาแล้ว (อย่างเช่น งานค้นคว้าของ Bailey-Pillard, Kallman, Hamer et al และเพื่อน ๆ) แต่มันก็จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบ โดยเฉพาะตอนนี้ LeVay ได้กลายเป็นนักรณรงค์ เพื่อคนรักร่วมเพศ ข้อสำคัญข้อแรก สำหรับการค้นพบอะไรใหม่ ๆ ในทางวิทยาศาสตร์ ก็คือมันสามารถ ถูกนำมาลอก ทำสำเนาใหม่ หรือทำซ้ำ ๆ แล้วก็มีหนังสือรายสัปดาห์ ที่ทรงเกียรติทางด้านวิทยาศาสตร์ของอเมริกา (Scientific American Manazine) ได้พาดหัวข่าวไว้ว่า “พันธุกรรมของเกย์ถูกค้นพบใหม่” ในเดือน พฤศจิกายน ค.ศ. 1995 (หน้า 26) ฉบับนั้นเขียนว่า :

“ในไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้น ได้มีการค้นคว้า 2 ครั้ง ที่ถูกตีพิมพ์ในทางวิทยาศาสตร์ ดูเหมือนว่ามันเป็นหลักฐาน ที่น่าตื่นเต้นเร้าใจว่า การที่ผู้ชายเป็นคนรักร่วมเพศ มีความเกี่ยวข้องกับทางชีวภาพ ที่เป็นรากฐาน ในปี ค.ศ. 1991 Simon VeVay ตอนนั้นทำงานอยู่ที่ Salk Institute for Biolgical Studies in San Diego ได้รายงานการค้นพบอย่างละเอียด และความแตกต่างกันที่สำคัญ ระหว่างสมองของคนที่เป็น คนรักร่วมเพศกับ สมองของผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม สองปีต่อจากนั้น มีนักค้นคว้ากลุ่มหนึ่งนำโดย Dean H. Mamer จากสถาบันมะเร็งแห่งชาติได้ให้ ความเชื่อมโยงของผู้ชาย ที่รักร่วมเพศด้วยกับพันธุกรรม ในโครโมโซมเอ็กซ์ ซึ่งได้รับสืบทอดเฉพาะตัวจากแม่

การประกาศออกมาทั้งสองครั้ง ทำให้เป็นเรื่องพาดหัวหนังสือพิมพ์ไปทั่วโลก LeVay และ Hamer ปรากฏตัวในงานสนทนาสด ในโทรทัศน์และเขียนหนังสือหลายเล่ม เขาทั้งสองยังร่วมกันเขียนบทความ ในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ ฉบับเดียวกันในเดือน พฤษภาคม ค.ศ. 1994 แต่การค้นพบของ LeVay ยังไม่ได้มีคนตรวจสอบอย่างเต็มที่ โดยนักวิจัยค้นคว้าคนอื่น อย่างที่ได้เกิดขึ้นกับ Hamer มีการวิจัยชิ้นหนึ่งที่แสดงผล ขัดต่อผลวิจัยของเขา ต่อมาเขาถูกดำเนินคดี เกี่ยวการค้นคว้าที่ไม่ถูกต้อง และตอนนี้ถูกสอบสวน โดยสถาบันการค้นคว้า ที่มีศีลธรรมแห่งชาติ”

การทบทวนของการค้นคว้า (บทวิจารณ์) (Review of the Study)

อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนรักร่วมเพศ และทางหลักของสื่อสารมวลชน ยังคงอ้างอิงการค้นคว้าของ LeVay อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เราลองมาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น :

การค้นคว้าของ LeVay และข้อสมมุติฐาน สามารถจะถูกพิจารณาภ ายใต้สาขาวิชาของ “ข้อสุมมติฐานของฮอร์โมนของผู้ใหญ่” ซึ่งเป็น 1 ใน 3 สาขาของ “ข้อสุมมติฐานทางชีวภาพ” ซึ่งตรงกันข้ามกับ “ข้อสมมุติฐานของสิ่งแวดล้อม” (อีก 2 สาขาวิชาของข้อสมมุติฐาน ทางชีวภาพ คือ ข้อสมมุติฐานทางพันธุกรรมและข้อสมมุติฐานของฮอร์โมนก่อนจะคลอด) (ดูหัวข้อข้างล่าง)

LeVay ค้นคว้า ในสาขาวิชาทางสมองส่วนหน้า ที่เป็นพื้นฐานของผนังข้าง ของห้องสมองที่สาม ในสมองที่เรียกว่า INAH (Interestitial Nucleus of the Anterior Hypothalamus) ที่เกี่ยวกับเซลล์เล็ก ๆ ในสมอง ทั้งหมด 4 สาขาวิชาคือ (INAH 1-4) เขาได้เขียนไว้ว่า ในการค้นคว้าของเขา เขาได้ค้นพบ INAH 3 ที่เล็กกว่าในกลุ่มของ ชายรักร่วมเพศ และในกลุ่มของผู้หญิง มากกว่าในกลุ่มของผู้ชาย ที่รักเพศตรงข้าม เขาได้ตรวจสอบสมอง ของผู้เสียชีวิตชาย 35 และหญิง 6 คน เขาได้แยกแยะว่าเป็นชายรักร่วมเพศ 19 คน ที่เป็นผู้ชายเพราะว่า หมอได้ทำการบันทึก ในสมุดแจ้งตาย เขาได้แยกแยะคนอื่น ๆ อีก 16 คน ว่าเป็นผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม เพราะว่าขาดข้อมูล จากการบันทึก ในสมุดแจ้งมรณะ ถึงแม้ว่าจำนวน 6 ในทั้งหมด 16 คนตายเพราะโรคเอดส์ และเหมือนกับทั้งหมด 19 คน ที่ตายด้วยโรคเอดส์ ที่บันทึกไว้ในใบมรณะบัตร ดังนั้น การแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ของเขา จากตัวอย่างก็เกิดเป็น เรื่องถกเถียงกันขึ้นมาทันที

เราสมมุตว่าผลวิจัยของ INAH 3 ในสมองของผู้ชายรักร่วมเพศ ที่มรณะเป็นตามจริง และเราลองมาดูผลที่แตกต่างกันมาก ระหว่างผลวิจัยและบทสรุป

บทสรุปจากการค้นคว้า (Conclusions from study)

บทสรุปนั้น เป็นที่ชื่นชอบพอใจ ของพวกล๊อบี้รักร่วมเพศ เป็น 2 เท่าทวีคูณ และเป็นสูตรสำเร็จ ให้ยอมรับกันทันที จากผู้ที่ถูกหลอกง่าย อย่างพวกสื่อมวลชนทั่วไป ที่ระวังคำพูด ที่จะไม่ไปกระทบ กับกลุ่มคนอีกลุ่มหนึ่ง ก่อนอื่นเลยที่ว่า การเบี่ยงเบนทางเพศของบุคคลนั้น มีความสัมพันธ์กับขนาดของ INAH 3 ในสมอง และข้อสองที่ว่า การแตกต่างของขนาด ที่ต่างกันซึ่งมีติดตัวมาตั้งแต่เกิด และไม่ใช่เป็นแค่กลุ่มคนรักร่วมเพศ 19 คน ในตอนนั้นเรากำลังยุ่ง เกี่ยวกับข้อสมมุติฐานที่สมมุติขึ้น และที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์มีคำถาม 3 ข้อ ที่ต้องการให้ตอบจากการสรุปผลข องข้อสมมุติฐานเหล่านี้ ข้อแรกของทั้งหมดขัดแย้งกับ บทสรุปของการสมุติฐานอย่างทันที

1.  ข้อสมมุตฐานขัดแย้ง ต่อบทพิสูจน์ทั้งของ Bailey-Dunne-Martin (ดูหัวข้อที่ 4 ข้างบน) และ Bearman-Bruckner (ดูหัวข้อที่ 6 ข้างบน) โปรดพิจารณาว่าการค้นคว้าของ Bailey-Dunne-Martin ถูกดำนินการกับคู่ฝาแฝดกลุ่มใหญ่ โดยเฉพาะเจาะจง (คู่ฝาแฝดที่เกิดมาเหมือนกัน) คู่ฝาแฝดเหล่านี้ ควรที่จะ มีอุปนิสัยที่คล้ายคลึงกัน และร่วมกันไม่ว่าจะเป็น พันธุกรรม หรือฮอร์โมน นระหว่างที่แม่ยังตั้งครรภ์ และทีมค้นคว้านี้ ได้ต่อว่าการค้นคว้าของ Bailey-Pillard และได้บทสรุปว่า ไม่มีลักษณะสำคัญ ที่เกี่ยวกับสถิติเกี่ยวพันไปถึงการเป็นชายรักร่วมเพศ ในกลุ่มของคู่ฝาแฝด ที่เกิดมาเหมือนกัน

2.  เราได้รู้ว่า สมองของคน ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ระหว่างเกิดและตาย ยกตัวอย่างเช่น ในการค้นคว้าของ สถาบันสาธารณะสุขแห่งชาติ (NIH) มันได้ค้นพบว่า สำหรับคนที่ตาบอด ที่เริ่มต้นเรียนอักษรเบล หลังจากตาบอดแล้ว มีส่วนหนึ่งในสมอง ที่เกี่ยวข้องกับการบังคับ “นิ้วที่ใช้อ่านอักษรเบรลตัวนูน” เจริญเติบโตขึ้น นี่ก็คล้าย ๆ กัน มันเป็นที่รู้กันว่า เด็กผู้ชายเหล่านั้น ที่เป็นโรคการจำแนกเพศ ที่บกพร่อง (GID) และชอบเล่นกับเด็กผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ จะพัฒนาเสียงเหมือนผู้หญิง และอุปนิสัยอื่น ๆ ของผู้หญิง พูดง่าย ๆ ก็คือ : การพัฒนาการของสมองในระดับหนึ่ง ถูกกระทบกระเทือน โดยคุณประพฤติตัวอย่างไร และบุคคลที่คุณคบหาสมาคมด้วย ในระหว่างที่เจริญเติบโตขึ้นมา

3.  ความแตกต่างในขนาดของเซลล์สมอง INAH 3 อาจจะมีความสัมพันธ์กับบางสิ่งบางอย่าง ที่จะเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะ กลายเป็นชายรักร่วมเพศ โดยปราศจาก กำหนดโชคชะตาไว้ล่วงหน้า อย่างแท้จริงของผลที่ออกมา ยกตัวอย่างเช่น เด็กผู้ชาย อาจจะเกิดมา โดยมีพันธุกรรม ที่มักจะทำใ ห้เขาผอมหรือล่ำ กล้ามใหญ่ และคนเป็นพ่อ อาจจะแนะนำดีกว่า ที่จะให้ลูกที่เกิดมาล่ำสัน ให้ได้ดีในกีฬายอดนิยม อย่างเช่น เล่นอเมริกันฟุตบอล หรือเล่นไอซ์ฮอกกี้ที่ลูกชอบเล่น และลูกที่เกิดมาผอม ให้เล่นกีฬาในสิ่งที่เขาถนัด เช่น บัลเล่ย์ หรือ figure-skating มันก็เหมือนกับบางคนเกิดมา มีพันธุกรรมที่จะทำให้เขาสูงใหญ่ เด็กคนนั้นก็จะ มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่จะประสบความสำเร็จ ในกีฬาบาสเก็ตบอลมากกว่า เด็กที่เกิดมาเตี้ย แต่เด็กที่สูงใหญ่ไม่สามารถที่จะ เก่งในบาสเก็ตบอลได้ จนกว่าเขาได้จับลูกบาสเก็ตบอล นี่ก็เหมือนกัน เด็กผู้ชายอาจจะกลายเป็นคน ที่ถูกทำให้โน้มเอียง ไปทางรักร่วมเพศมากกว่า เนื่องจากสิ่งแวดล้อมที่เขาเติบโตขึ้นมา (หรืออาจจะขาดผู้ชายที่เป็นต้นแบบที่ดี หรืออาจจะถูก RFSL และพวกพาเข้าร่วมเป็นสมาชิก)

(มันเป็นสิ่งที่รู้กันว่าภายในนักกีฬาอาชีพของคนเล่นสเก็ต (figure-skating) จำนวนของชายรักร่วมเพศมีมากกว่าในสัดส่วนของพวกเขามากในประชากรทั่วไป บางคนได้ประมาณคร่าว ๆ ว่ามีเกือบ 50% ของนักกีฬาชายในกีฬา figure-skating ดังนั้นเมื่อโรคเอดส์เริ่มระบาดใหม่ ๆ นักกีฬาชายที่เล่นกีฬา figure-skating ได้ลดจำนวนลงอย่างมากมาย

ดังนั้น นี่เป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อที่ดีจะต้องทำ ถ้าลูกเขาแสดงออกถึงความเก่ง ถนัด และสนใจกีฬานี้ : พ่อจะพาลูกชายไปเล่นบาสเก็ตบอล ด้วยตัวของพ่อเอง ไม่ใช่ให้แม่พาไป และพ่อก็ต้องอยู่ที่นั่นยึดแน่น เพื่อตอนที่เขาเข้าแข่งขัน และอนุญาตให้เขา อยู่ร่วมกับเด็กชายคนอื่น ๆ ก็เพื่อว่า เขาจะได้กลายเป็น “หนึ่งในหมู่ของเด็กชาย” เด็กผู้ชายคนนั้น ก็จะผูกพันธ์กับพ่อ ซึ่งในทางกลับกันจะเป็น “เกราะป้องกันรักร่วมเพศ” ที่แท้จริงระหว่างที่ลูกเติบโตขึ้น)

สิ่งที่เพิ่มเข้าไป ให้สังเกตุถึงแม้ว่า ตัวเฉลี่ยของเซลล์ในสมอง INAH 3 ในชายรักร่วมเพศ และในผู้ชายที่รักเพศตรงข้ามที่แตกต่างกัน ในผลลัพธ์ จะมีบางกรณีที่เซลล์ในสมอง INAH 3 ของชายรักร่วมเพศที่ตามความจริงแล้วโตกว่า (ไม่ใช่เล็กกว่า) อัตราเฉลี่ยของขนาด ของผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม ในตัวอย่างหนึ่งจากหลาย ๆ ตัวอย่างเซลล์ในสมอง INAH3 ที่มาจากชายรักร่วมเพศโตกว่าทุกอัน ยกเว้น 1 ใน 16 “ชายที่รักเพศตรงข้าม” ในการค้นคว้าครั้งนี้ นั่นมันขัดแย้งกับ ข้อสมมุติฐานของ LeVay อย่างสิ้นเชิง

ในทางภาษาของวิทยาศาสตร์ คำพูดได้ถูกแสดงความคิดเห็น ในหนังสือฉบับเดือนมีนาคม ค.ศ. 1994 หนังสือชื่อ “การค้นพบ” ที่มีข้อความดังต่อไปนี้ :

“Anne Fausto-Sterling เธอเป็นนักพัฒนาการ เกี่ยวกับพันธุกรรม ที่มหาวิทยาลัย Brown University และเป็นหัวโจกคนหนึ่ง ที่วิพากษ์วิจารณ์ การค้นคว้าของ LeVay เธอได้สงสัย ในการอธิบาย เกี่ยวกับข้อมูลของเขา เธอพูดว่า “เขาอ้างว่ามีความหลากหลาย ในขนาดเซลล์ ในสมองของพวกเกย์ เมื่อเทียบกับผู้ชายธรรมดา แต่ยังคงมีการเลื่อมล้ำกันมาก ระหว่างผู้ชายธรรมดากับผู้ชายเกย์ สิ่งที่เขาได้ค้นพบที่แท้จริงแล้ว ก็คือ ความแตกต่างกันในการจำแนกเซลล์ โดยสองสามเซลล์ที่โตกว่า ถัวเฉลี่ยเซลล์อยู่ข้างหนึ่ง และสองสามเซลล์ ที่เล็กกว่าถัวเฉลี่ยของเซลล์อยู่อีกข้างหนึ่ง และส่วนที่เหลือซึ่งเป็นส่วนมาก ที่มากมายอยู่ตรงกลาง ถึงแม้ว่าถ้าเราสามารถพูดได้ว่า คนส่วนใหญ่ที่อยู่ข้างหนึ่ง เป็นผู้ชายธรรมดา และคนส่วนใหญ่อีกกลุ่ม ที่อยู่อีกข้างหนึ่งเป็นผู้ชายเกย์ นั่นบอกพวกเรานิดหน่อย เกี่ยวกับคนส่วนมาก ที่อยู่ตรงกลางที่เลื่อมล้ำกัน ถ้า LeVay เลือกขนาดของเซลล์ในตรงกลาง เขาไม่สามารถจะบอกได้ว่า มันเป็นของผู้ชายธรรมดา หรือเป็นของผู้ชายรักร่วมเพศ”

หลักใหญ่ใจความ ของการวิพากษ์วิจารณ์ ของการค้นคว้าของ LeVay ที่ถูกเลือกสรรแล้ว สามารถดูได้ใน ref.26

ความจงใจในการแปล ความหมายที่ผิด ๆ โดยสื่อสารมวลชนที่เกี่ยวกับการค้นคว้าของ LeVay ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นว่า หนังสือพิมพ์ส่งเสริม การรักร่วมเพศ และก็ยอมเสียสละ ที่จะละทิ้งการทำงาน เพื่อจุดประสงค์ที่สำคัญกว่า และความซื่อสัตย์ พวกเขากำลังค้นหาเข็ม ในมหาสมุทร แต่เขาจะไม่มีทางที่จะหาเจอ ผมขอแนะนำให้อ่านหัวข้อที่ 4 อย่างมากใน ((อ้างอิง REF.1) โดย Jeffrey Satinover เกี่ยวกับเรื่อง “ค้นหาเข็มในมหาสมุทร”)

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

8.    ข้อสมมุติฐาน เกี่ยวกับเรื่องของฮอร์โมน ก่อนการคลอดบุตร (Prenatal Hormonal Hypotheses)

สิ่งแวดล้อมของเด็กทารก ที่อยู่ในครรภ์ แม่สามารถ มีอิทธิพลต่อทารก ที่ยังไม่เกิดไปในทาง ที่เด็กทารกถูกกระทบกระเทือน ระหว่างการตั้งครรภ์ ในระยะแรกเกิดเด็กทารก ก็จะ ถูกกำหนด โชคชะตาไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าจะเป็นชายรักร่วมเพศ? ได้มีการคาดเดาต่าง ๆ นา ๆ อย่างมากมายในทางนี้ ตัวอักษรที่เขียน ในการค้นคว้าก็ เต็มไปด้วยการ ยกตัวอย่าง ซึ่งการค้นพบ ที่มีปัญหา โดยนักวิจัยค้นคว้า ที่ไม่สามารถยืนยันได้ หรือได้รับการพิสูจน์ จากนักวิจัยค้นคว้าคนอื่น บางครั้งการค้นพบไม่สามารถ ที่จะพิสูจน์ความจริงได้ หรือถูกหักล้างได้ เพราะว่าต้นฉบับของการค้นคว้า ไม่สามารถที่จะทำสำเนา ถอดแบบขึ้นมาใหม่ได้

ยกตัวอย่างเช่น ในการค้นคว้าโดย Dorner (อ้างอิง REF.5); หน้า 66) เกี่ยวกับหลังสงครามโลก ในประเทศเยอรมันนี มันถูกค้นพบว่า ได้มีผู้ชายที่เป็นชายรักร่วมเพศ มากกว่าที่คาดหมายไว้มาก ตอนนั้นมันถูกบ่งชี้ว่านี่อาจจะ เนื่องมาจากการทำงานที่ผิดปกติของ “การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน” ในครรภ์ของแม่ เนื่องมาจากสิ่งแวดล้อมที่เลวร้าย ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่สิ่งที่ได้เห็นกันนี้ มันอาจจะแค่เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ว่า เกิดจากความจริงที่ว่า หลังจากสงครามโลก ได้สิ้นสุดลง เด็กผู้ชายหลาย ๆ คนโตขึ้นมา โดยปราศจากพ่อ และเพราะฉะนั้นทนทุกข์ทรมาน จากโรคจำแนกเพศที่บกพร่อง (ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม จิตวิทยาเป็นเครื่องบ่งชี้) : สังเกตุว่า แค่เป็นการคาดเดาในการค้นคว้านั้น! มันไม่มีเหตุผลว่า ทำไมความเครียดในครรภ์ของแม่ จะเป็นต้นเหตุของการ เป็นชายรักร่วมเพศ มันเหมือนกับว่าการพูดว่า ถ้าเด็กชายเยอรมัน ตอนหลังสงครามโลก เล่นบาสเก็ตบอล ได้ดีกว่าก่อนสงคราม ความเครียดในครรภ์ แม่เป็นสาเหตุของความสามารถ ที่ดีกว่าในตัวเด็ก ๆ ที่จะเล่นบาสเก็ตบอล

บางครั้งมันน่าตลก ขบขันเกินไป มีการค้นคว้าอีกงานหนึ่งในสาขาวิชา “ข้อสมมุติฐานของฮอร์โมนก่อนการคลอด” ถูกตีพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ โดย Anthony Bogaert จาก Brock University, Canada เขาได้แนะนำไว้ว่า 1 ใน 7 ของชายที่รักร่วมเพศได้กลายเป็นคนรักร่วมเพศ เพราะว่าแม่ได้เคยคลอดลูก ก่อนหน้านี้เป็นผู้ชาย และสำหรับลูกแต่ละคน ที่โตกว่าที่ร่วมสายเลือดเดียวกัน ความเป็นไปได้สำหรับการ เป็นชายรักร่วมเพศกับลูก ที่อายุน้อยกว่าคาดคะเนว่า ถูกเพิ่มขึ้นโดย 1 ใน 3 ผลลัพธ์สำหรับกลุ่มที่ “พี่ชายที่โตกว่า ที่ร่วมสายเลือดเดียวกัน” ได้มีสถิติ “มีคำเป็นอนุภาคเล็ก ๆ” ด้วยขีดจำกัดที่น้อยกว่าของสิ่งเล็ก ๆ แค่ 0.03 (ถ้าสมมุติค่าที่ออกมาเป็นศูนย์ หรือติดลบ มันก็จะ ไม่มีความสำคัญ ทางด้านสถิติเลย) อย่างไรก็ดี มันเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง ที่การค้นคว้านี้ถูกป่าวประกาศ และถูกเขียนโดย สื่อสารมวลชนทั่วไป พวกที่เห็นอกเห็นใจ คนรักร่วมเพศ ได้เขียนจดหมาย ที่ให้ความเห็นว่า การค้นคว้านี้ ให้กำลังใจพวกเขามาก เขาเขียนไว้ว่า “ประมาณหนึ่งล้านคน ชาวอเมริกัน ที่เป็นผู้ชายรักร่วมเพศในวันนี้ หรือจะโตขึ้นกลายเป็นชายรักร่วมเพศ เพราะว่าแม่ของพวกเขาได้คลอดลูก ที่เป็นผู้ชายก่อนที่ พวกเขาจะเกิดมา ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้พูดอะไร เกี่ยวกับความจริง ที่ว่าพ่อกับลูกชายคนโต อาจจะมีโอกาสมากกว่า ที่จะลืมช่วยกัน พัฒนาลูกชายคนเล็กให้มีเพศ ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง แน่นอน มันเป็นการยาก สำหรับผู้ที่เป็นพ่อที่มีลูกหลายคน

นอกจากนี้ Bogaert ได้ลงบทวิจัยค้นคว้าของเขาไว้ ในหนังสือพิมพ์ Los Angeles Times เขียนไว้ว่า “คู่ฝาแฝดที่เกิดมาเหมือนกัน มี DNA ที่เหมือนกัน และถ้าหนึ่งในคู่ฝาแฝด เป็นชายรักร่วมเพศ เด็กอีกคนหนึ่งก็จะเป็น ชายรักร่วมเพศด้วยเหมือนกัน ใน 52% ของตัวอย่างทั้งหมด ตามที่ได้วิจัยไว้ จากปี ค.ศ. 1991 ในหมู่คนของคู่ฝาแฝด ที่เกิดมาไม่เหมือนกัน ความถี่ได้ลดลงมาถึง 22% และสำหรับพี่ชายคนอื่นลดล งถึง 9%” ตัวเลขเหล่านี้แน่นอน ได้มาจากการค้นคว้าของ Bailey-Pillard ในปี ค.ศ. 1991 (ดูข้อ3 ข้างบน) การค้นคว้าที่พูดเกินความจริงนี้ ถูกใช้เป็นข้ออ้างอิง ในการค้นคว้าวิจัย ในครั้งต่อมา ผมไม่สามารถที่จะ เชื่อว่าการแพร่ข้อมูลที่ผิด ในสื่อสารมวลชน เป็นสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นการกระทำที่จงใจ ที่มองข้ามความจริง เพื่อที่จะเป็นการถูกต้อง ตามกระแสหลักทางการเมือง ในเวลานั้น

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้าหลัก

9.    แนวความคิด “การค้นคว้า” ที่ผ่านมาเกี่ยวกับชายรักร่วมเพศ (Trend I Recent Homosexual “Research”)

ตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมา ที่เขาเรียกกันว่า “การค้นคว้าวิจัย” หลายครั้งที่เกี่ยวกับชายรักร่วมเพศ ถูกโฟกัสไปที่เรื่องชายรักร่วมเพศ หรือผู้ชายที่รักเพศตรงข้าม ควรที่จะรับ เด็กกำพร้า ไว้เป็นบุตรบุญธรรม? คำถามต่อมาว่า อะไรเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด สำหรับเด็ก ๆ ? มีการค้นคว้าวิจัย จำนวนมาก ที่ถูกผลักดันโดย วาระทางการเมือง ของพวกนักวิ่งเต้นเล๊อบบี้ ของชายรักร่วมเพศ ที่ชอบออกมาประกาศว่า ตนเองเป็นผู้เหมาะสม ที่จะเป็นพ่อเท่าเทียมกับคนอื่น ๆ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวน แน่นอนว่าจะต้องเป็นความจริงที่ว่า มีอัตราความถี่ของการล่วงละเมิดทางเพศ ของเด็ก ๆ ในหมู่ผู้ชาย รักร่วมเพศที่สูงกว่า (ดูเรื่องที่ถูกปกปิดเรื่องที่ 1 วรรค 4 ข้างบน)

(อ้างอิง REF.2) หน้า 95-120 (คุณพ่อที่เป็นพวกชายรักร่วมเพศ จะเป็นภัยต่อเด็ก ๆ ไหม?) บรรจุไปด้วยการ สนทนาที่กว้างขวาง และตีแผ่คนที่ฝักใฝ่ ให้พวกผู้ชายรักร่วมเพศ สามารถรับลูกบุตรธรรมได้

(อ้างอิง REF.6) ไม่มีอคติ : มันช่างเป็นการค้นคว้าวิจัย ที่ประหลาด “อย่าบอกกับเราน่ะว่าผู้ชาย 2 คนจะรับลูกบุตรธรรม” คือการวิเคราะห์ที่มีแบบแผน (รายงานต่อรายงาน) และการขัดแย้งกันของการค้นคว้าวิจัยต่าง ๆ ทั้งหมด 49 ครั้ง รายงานและข้อบกพร่องของมัน ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือ Robert Lerner และ Althea Nagai ทั้ง 2 ท่าน มีปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ จากมหาวิทยาลัยชิคคาโก้ สำหรับข้อมูลทั้ง 49 งานวิจัยหนังสือเล่มนี้ เปิดเผยความลับ เกี่ยวกับข้อบกพร่อง ในหนึ่งหรือหลาย ๆ สาขาวิชานี้ เช่น

1.  ข้อสมมุติฐานที่ไม่ชัดเจน และการออกแบบการค้นคว้าวิจัย

2.  สิ่งที่ขาดหายไป หรือมีไม่เพียงพอ ในกลุ่มที่เอามาเปรียบเทียบ

3.  การสร้างเรื่องขึ้นมาเอง ที่เชื่อถือไม่ได้ และหน่วยวัดที่ขาดความเชื่อถือ

4.  ไม่มีการสุ่มหาตัวอย่าง รวมถึงคนที่เข้าร่วม วิจัยสรรหาสมาชิกใหม่ จากผู้เข้าร่วมกลุ่มเดียวกัน

5.  กลุ่มตัวอย่างน้อยเกินไป ที่จะให้ผลลัพธ์ที่มีความหมาย

6.  การขาดหายไปหรือมีไม่พอ ของสถิติข้อมูลที่วิเคราะห์

ปัญหาใหญ่ของการ ค้นคว้าวิจัยของประเทศนี้ คือว่า ผู้ชาย+ผู้ชาย ที่เป็นเกย์ที่ต้องการ มีบุตรบุญธรรม เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้น ดังนั้น กลุ่มตัวอย่าง มีไม่เพียงพอ และระยะเวลา องการเลี้ยงบุตรบุญธรรม โดย ผู้ชาย+ผู้ชาย ที่ต้องการเป็นผู้ปกครองอุปถัมภ์ เด็กกำพร้านั้นสั้นมาก ดังนั้น ไม่มีสถิติตัวเลข ที่เชื่อถือได้เหมาะ ที่จะเอามาใช้

แต่สิ่งที่สำคัญ กว่าการค้นคว้าวิจัย ก็คือการนำเสนอ “บทพิสูจน์” ในสื่อสารมวลชน เพราะสิ่งที่ถูกนำเสนอ ในสื่อสารมวลชน เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อ ความคิดเห็นของประชาชน บ่อยครั้งมาก ที่นักเขียนในบทความ ของหนังสือพิมพ์หรือนักข่าว ที่ทำการสัมภาษณ์กับ “ผู้เชี่ยวชาญ” บังคับความคิดเห็นของตนเอง โดยการใช้น้ำเสียง ในบทความของเขา หรือการคัดเลือกบุคคล ที่เขาจะสัมภาษณ์ โดยการคัดเลือก คำอ้างอิงอย่างระมัดระวัง และในทางที่ให้เนื้อหา ความหมาย ในรายงาน ของการวิจัยค้นคว้า ที่ถูกนำเสนอ นักข่าวที่มี “จุดมุ่งหมาย” ช่วยสนับสนุนอย่างมาก ต่อการสร้างความคิดเห็น ของประชาชน เพื่อเด็กตัวเล็ก ๆ นี่เป็นสิ่ง ที่สำคัญอย่างยิ่ง ในสาขาวิชาชีพ

Lerner และ Nagai (นักเขียนหนังสือเล่มนี้) ได้สำรวจบทความ ในหนังสือพิมพ์ เกี่ยวกับผู้ชาย + ผู้ชาย ที่เป็นคนรักร่วมเพศ ที่ต้องการเป็นผู้ปกครอง รับบุตรบุญธรรม ระหว่างปี ค.ศ. 1979 และปี ค.ศ. 1999 เขาทั้งสองพบว่า บทความส่วนใหญ่ ลงความเห็นทั่ว ๆ ไป โดยที่พอใจกับการ ค้นคว้า ทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมด ที่กระทำมาถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นว่า เด็กที่ถูกเลี้ยง อบรมสั่งสอนโดยผู้ชาย + ผู้ชาย ที่เป็นคนรักร่วมเพศ จะไม่แตกต่างกับ เด็กที่ถูกเลี้ยงโดยพ่อแม่ (ที่เป็นผู้ชายกับผู้หญิง) และมันก็ถูกเขียนบ่อย ๆ ครั้ง โดยปราศจากการอ้างอิง ถึงรายงานที่เฉพาะเจาะจง การใช้การโน้มเอียง ไปในทางบวก ทำให้รายงานที่บกพร่องเหล่านี้ ได้รับการประโคมข่าว ในสื่อสารมวลชน ทำให้ประชาชน ลดการต่อต้านอย่างเห็นได้ชัด ที่จะให้ ผู้ชาย + ผู้ชาย ที่เป็นคนรักร่วมเพศ สามารถเป็นผู้ปกครอง รับบุตรบุญธรรม ที่เป็นเด็กกำพร้าได้ มันเป็นโศกนาฏกรรม ที่ใหญ่โตสำหรับเด็ก ๆ เหล่านี้ ที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ที่ได้รับบาดแผล ทางด้านอารมณ์ ไปตลอดชีวิต ไม่สามารถที่จะละเลยได้

Back to Table of contents กลับไปสู่หน้า